Friday, March 30, 2007

Podcast ของฟรีที่มีสาระ

สวัสดีครับ พบกับผมอีกแล้วนาย PIKMY กับบทความใหม่เป็นประจำได้ที่นี่ www.iloveipod.co.nr วันนี้ผมมาด้วยเรื่องของ Podcast ครับ หลาย ๆ คนคงรู้จักกันบ้างแล้ว สำหรับคนที่ได้เจอกับผมโดยตรง (ตัวเป็น ๆ) ที่ true urbanpark Siam paragon ผมมักจะพูดถึง Podcast บ่อย ๆ หากมีเวลาคุยกันนะครับ และบทความเกี่ยวกับ Podcast นี้ผมได้เคยเขียนไปแล้วในตอนแรก ๆ สมัยที่ยังเป็น pikmyapplesupport.blogspot.com (ตอนนั้นชื่อยาวเป็นบ้าเลย ถ้าไม่ได้ โอ๊ดเพื่อนใน true ช่วยล่ะก็คพิมพ์กันเมื่อยเลยครับ)

ในตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดครับ จำได้ว่ามีพี่คนหนึ่งเป็นพนักงงานอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งเค้าซื้อ macbook มาใหม่แล้วมีปัญหา แล้วบังเอิญมาเจอผมเข้าพอดี ก็เลยได้มีโอกาสได้คุยกันและผมก็ได้แนะนำเว็บของผมไป เค้ามีข้อสงสัยอยู่สองเรื่อง ก็ได้ Post ถามผมมาในเว็บ (เป็น Post เดียวของเว็บเลยครับ) เรื่องแรกเป็นเรื่องของ iMovieHD ครับตอนนั้นยังไม่ชำนาญเลยยังไม่ได้ตอบไป (แต่ตอนนี้ถามมาได้นะครับ เล่นเป็นแล้ว) อีกเรื่องก็เป็นเรื่องของ Podcast ครับ ซึ่งก็ได้ตอบไปแล้วในบทความต่อไป แต่จริง ๆ น่าจะเรียกว่าการตอบจะดีกว่าครับ ยังไม่น่าจะถือเป็นบทความได้อ่านแแล้วดูงง และไม่เป็นเรื่องเป็นราวเท่าตอนนี้ (ตอนนี้ผมว่าก็ยังไม่ดีนะ เหมือนมาพูดด้วยตัวหนังสือมากกว่า ไม่ได้มีแบบแผนอะไร)

แต่ตอนนี้ที่ได้เขียนขึ้นมาอีกครั้งเพราะ ได้เจอกันน้องคนหนึ่ง เรียนอยู่จุฬาฯ แต่ลืมถามชื่อน้องเค้า (ถ้าคุณน้องได้อ่านแล้วรายงานตัวด้วยครับ ทาง Mail หรือ MSN ก็ได้ครับ) ผมจำน้องเค้าได้ ว่าเคยคุยด้วยมาก่อนแล้ว ถ้าจำไม่ผิดครั้้งก่อนเค้ามากับเพื่อน ๆ แต่วันนี้เธอมาคนเดียว ก็เลยได้คุยกันยาวหน่อย ถามมาตอบไปกันหลายเรื่อง แต่แล้วก็เลยมาถึงเรื่องของ Podcast พอจะอธิบาย แบ็ต macbook ดันหมดซะก่อนเลยรับปากน้องเค้าว่าจะมาเขียนเป็นบทความให้ เพื่อจะได้แบ่งกันอ่านกันหลาย ๆ คน และประจวบกับว่าเร็ว ๆ นี้ถ้าโชคดีผมจะมีโครงการเกี่ยวกับ Podcast ที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนไทยมาก ๆ เลยคิดว่าเขียนขึ้นมาเลยดีกว่า เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ด้วยท่าจะดี

Podcast นั้น เป็นรูปแบบการสื่อสารในรูปแบบหนึ่งครับ ที่ผู้จัดทั้งหลายได้ทำสื่อของตัวเองขึ้นมา ทั้งที่เป็น Video เหมือน ๆ กับรายการโทรทัศน์ และสื่อ Audio ที่เหมือนกับรายการวิทยุ แต่แตกต่างจากรูปแบบเดิม เพราะเดิมนั้้นได้ทำการออกอากาศไปทางคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ แต่ Podcast นั้น เมื่อผู้จัดผลิตรายการของตนเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่น จะนำเอารายการของตนไปโพสไว้บน internet แทนการออกอากาศ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกมากกว่าไม่มีข้อจำกัดด้านของเวลา เพราะรายการนั้น ๆ เราสามารถนำกลับมาดูเมื่อไรก็ได้ และสามารถนำไปใส่ไว้ใน เครื่องเล่นพกพาของตนได้เช่น iPod โทรศัพท์มือถือหรือ PDA ได้ เราสามารถนำรายการนั้นไปดูหรือฟังนอกบ้านได้ อย่างสะดวก และสามารถ Share ให้กันได้โดยง่าย

ซึ่งคุณภาพของรายการที่ผลิตออกมานั้นในต่างประเทศนั้นถือว่าสูง อยู่ในระดับที่รับชมหรือฟังได้อย่งเป็นที่น่าพอใจ ไม่มีปัญหาเรื่องของความคมชัดของภาพและเสียง ทำให้ไม่เสียอรรถรสในการชม และในบ้านเรานั้น ก็มีอยู่หลาย ๆ ผู้จัดที่เริ่มทำ Podcast ขั้นมาบ้างแล้ว ซึ่งมีทั้งที่เนื่อหาดีเยี่ยมน่าติดตาม เช่น รายการ macdd radio ของ เว็บไซท์ www.macdd.com แต่ก็มีอยู่หลายรายการที่ยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยังต้องปรับปรุงกันอีกพอสมควร ซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดด้านของเครื่องมือเครื่องไม้ หรือความชำนาญในการใช้ ทักษะในการจัดการรูปแบบของรายการ แต่ก็นับว่าน่าชื่นชม นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี

"รายการที่ ทำออกมาในรูปแบบของ Podcast มีหลากหลายมั๊ย ? " คำถามนี้นั้นเป็นคำถามยอดฮิตครับ ได้ยินทุกครั้งที่เอ่ยเรื่อง Podcast ขึ้นมา อันนี้ต้องตอบตรง ๆ เลยครับ ว่าในต่างประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายครับ ทั้งข่าว,กีฬา,การศึกษา,เรื่องตลก.เทคโนโลยี,สุขภาพ และอีกมาก แต่ในประเทศไทยนั้นยังมีไม่มากนัก ส่วนมากเป็นเรื่องของเทคโนโลยีซะมากครับ และก็เป็นเนื้อหาเฉพาะกลุ่มมากกว่า เช่น กลุ่มของคนใช้ mac หรือไม่ก็เป็นเรื่องทั่วไป ไม่ได้หลากหลายเท่ากับในต่างประเทศ แต่ก็เริ่มมีหลาย ๆ คนที่อยากเป็นผู้จัดเริ่มที่จะออกมาทำกันมากขึ้น

"แล้วถ้าเราอยากฟัง Podcast แล้วเราต้องทำอย่างไรบ้าง" อันนี้เป็นคำถามต่อมาหลังจากที่ลูกค้าของผมรู้แล้วว่า Podcast นั้นเป็นอย่างไร ในการฟังนั้นเราก็สามารถรับฟังได้โดยใช้โปรแกรม ต่าง ๆ ที่มีความสามารถในการรับ Podcast เราเพียงไป subscribe เพื่อรับเอารายการนั้นมาก็สามารถนำมาชมหรือฟังได้แล้วครับ แต่ถ้าให้ผมแนะนำตัวโปรแกรมนั้น ก็คงไม่พ้น iTunes ซึ่งเป็น Freeware (แปรว่าของฟรีครับ ของฟรี) ใช้งานง่าย หาง่าย และหน้าตาสวยอีกด้วย และที่สำคัญสามารถ Sync กับ ipod ของเราได้ด้วย

แล้วเราจะ subscribe ได้อย่างไร นั้น เราทำได้อยู่ 2 วิธีครับ ซึ่งจะเป็นวิธีใหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าทาเว็บเค้าทำออกมาสะดวกมากน้อยแค่ใหน

วิธีแรก คือการที่ทางเว็บนั้น ๆ ให้ไว้เป็น URL ให้เราทำการคัดลอก จากเว็บ เช่น เว็บ macdd.com แล้วนำไปกรอกใสโปรแกรมเอง ก็ไม่ได้ยากอะไร แต่ไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร


เมื่อเราได้ URL แล้วให้ไปที่ subscribe to podcast... ซึ่งใน advance บน menubar เมื่อเจอก็กดลงไปครับ


จากนั้นก็จะมี dialog box ชื่อ subscribe to podcast... โผล่มา


ให้เรานำเอา URL ที่ได้มาไปกรอกไว้ในนั้น แล้วกด OK เป็นอันเรียบร้อย แล้วเจ้าตัว Podcast นั้นจะทำการ Download รายการล่าสุดมาให้เอาโดยอัตโนมัติ


ส่วนวิธีที่สอง เป็นของเว็บที่ทำได้ดี เค้าไป Link ไว้กับ iTunes ทำให้เราแค่กด subscribe ที่มีอยู่บนหน้าเว็บ เจ้า podcast ที่ต้องการก็จะ Link เข้ามาอยู่ใน iTunes ของเราเองอัตโนมัติ และทำการ Download รายการล่าสุดมาให้อีกเช่นกัน

คราวนี้เราก็รอแป๊ปนึงครับเค้าทำการ Download สักแป๊ป เมื่อเสร็จแล้วก็สามารถเปิดชมหรือฟังได้ตามสะดวกครับ จะบน iTunes หรือใน iPod ก็ได้ครับ สะดวกมาก ๆ

แต่หากต้องการชมหรือฟังรายการก่อนหน้านี้ ก็เพียงเราเข้าไป ที่ icon podcast ใน sidebar ของโปรแกรม iTunes


เราจะพบกับรายการที่ได้ subscribe มาแล้ว ขึ้นมาเป็น list ตรงหัวของรายการจะเป็นลูกศรชี้ไปทาง ขวามือ ให้เราไปคลิกที่ลูกศร มันจะทิ่มหัวลงไปด้านล่างพร้อมกับรายการที่เพิ่มออกมา รายการที่โผล่ออกมาจะมีทั้งที่เรา Download ไปแล้วละที่ยังไม่ได้ Download หากในใจตัวใหนก็สามารถทำการ Download ได้โดยการกด Get เลยครับ แล้วรอแป๊ปนึงก็เสร็จครับ (ตามแต่ความเร็วของ internetครับ)

และหากใจให้ลึกล้ำไปกว่านี้เราก็ต้องไปดูการตั้งค่าใน Preference ของ iTunes ครับ แล้วไปที่ Podcast ครับ ในนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 หัวข้อครับ

อันแรก check new for episode: เป็นการกำหนดค่าว่าจะให้โปรแกรมทำการเช็คว่ามีการ update ใหม่ ๆ หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ เป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดารห์ และกำหนดเองครับ


อันที่สอง When new episodes are available :หมายถึง ถึง หากมี รายการ ๆ ใหม่ ๆ มาเราเลือกที่จะทำการ Download อย่างไร ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ Download All คือ Download ทั้งหมด,Download the most recent one หมายถึงทำการ Download อันหลัง สุด สมมุติ มีอยู่ 3 อันพร้อมกัน เค้าจะทำการ Download อันที่ 3 และอันสุดท้ายคือ Do nothing คือไม่ต้องฉันทำเอง


และอันสุดท้าย Keep: เป็นการเลือกเก็บครับ ว่าจะเป็นแบบใหนครับ เค้าแบ่งเป็น 8 รูปแบบ เป็นแบบเก็บทุกอัน หรือทึกอันที่ไม่ได้อ่านหรืออันล่าสุด หรือ 2-10 อันล่าสุดครับ เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วก็กด OK ครับ

การตั้งค่าก็มีแค่นี้ล่ะครับ แต่หากจะเพิ่มก็คือ ปุ่มด้านล่างของหน้าจอ Podcast เช่น refresh ,unsubscribe,setting, report a concern ,podcast directory เป็นต้นครับ

ในเมืองนอกนั้น เค้าใช้กันแพร่หลายมาก ทำให้ชีวิตชิว (ชิว ๆ) ขึ้นเยอะเลย เค้าทำกันแบบนี้ครับ เค้าไป subscribe ไว้กับรายการที่ต้องการ พอตอนเช้าตื่นขึ้นมา เค้าก็ไปเช็คดูหน้า iTunes ว่ามีรายการอะไร update แล้วน่าสนใจมั๊ย

หากสนใจ เค้าก็ทำการกด Download แล้วก็ไปจัดการอาบน้ำ หรือทำธุระ เมื่อเสร็จแล้วก็ค่อยมาทำการ Download เข้าไปใน iPod ของเค้าเพื่อนำไปฟังบนรถไฟฟ้าแทนการ อ่านหนังสือพิมพ์ เพราะข่าวนั้น ในบ้านเค้าออกอากาศเป็นระบบ Digital ทำให้สะดวกหากจะนำมาทำเป็น Podcast เราจะเห็นว่าเค้าไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะพิเศษในการอ่านมากมายนักในการรับข่าวสารในตอนเข้า(เหมือนผมที่อ่านหนังสือพิมพ์บนรถเมล์ที่คนยืนกันตรึม) ใช้การฟังหรือการดูแทน หรือหากคนใหนขับรถไปทำงาน ก็สามารถนำข่าวจาก CNN หรือรายการที่พลาดไปเมื่อ คืนมาเปิดดูในTVบนรถได้ (TV Show คนละส่วนกับ Podcast) ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นเยอะ ซึ่งในอีกไม่ช้า เมื่อโครงการของผมสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว คนไทยคงได้ใช้ชีวิตแบบนั้นบ้าง

เป็นไงครับ สำหรับ Podcast ของฟรีที่มีสาระ หากสงสัยประการใด หรือสนใจเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ กับผม (ไม่ใช่เรื่องการเมืองครับ หากอยากรู้ลองถามกันเข้ามาดูครับ) ติดกันเข้ามาได้ครับ

PIKMY

ปล.พี่เขียนให้แล้วนะครับคุณน้อง ที่เรียนจุฬาฯ (รายงานตัวด้วยล่ะ)

Sunday, March 25, 2007

iPod Office เคลื่อนที่่ อย่างนี้ก็มีด้้วย


สวัสดีครับ บทความนี้สืบเนื่องจากที่ได้รับปากไว้แต่ตอนที่แล้วว่าจะนำเรื่องของ Portable application มาเขียนเป็นบทความครับ งานนี้ค่อข้างคุ้นเคยครับ เพราะ portable app นั้นผมใชั้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ ด้วยความว่าที่บ้านคอมเสียแล้วเสียเลยไม่ได้ซ่อมสักที (ไมมีตังครับ) เลยต้องไปพิ่ง internet cafe' อยู่กเป็นประจำเลยครับ แต่ผมต้องทำการบ้านสิครับ แล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่ทุกร้านด้วยสิครับ ที่มี office ให้ผมใช้ ไอ้ครั้นจะไปโหลด openoffice มามันก็กินเวลาน่าดูเลยครับ และแล้วก็เหมือนเสียงสวรรค์ครับ เพื่อนผมนายต่อ คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ปวช. ที่พณิชยธนครับ วันนั้นเค้าโทรหาผมและแนะนำให้ผมรู้จักกับ Portable app ครับ เจ้าโปรแกรมเหล่านี้ตอบโจทษ์ผมได้มากเลยครับ ทั้งเล็ก ใช้ง่าย และมีค่อนข้างครบครับ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับอุปกรณ์เก็บข้อมูลของผมทุกตัวนั้นมี software อยู่ครบเลยครบ แต่แต่ flash drive,memory card ของมือถือ ก็มีครับ เรียกว่าจะใช้ที่แงะทีครับ แต่ผมสบายใจขึ้นเยอะเลยครับ ไปใหนไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโปรแกรมใช้

โปรแกรมนั้นมีมากมายหลายโปรแกรมครับ เป็นสิบ ๆ โปรแกรม แต่ที่ผมรู้จักและใช้งานก็มีอยู่ประมาณหนึ่ง ครับ เช่น Abiword,firefox,thunderbird, VLC ประมาณนี้ครับ แต่ที่เคยเล่นแต่ไม่ได้ใช้ก็มีหลายอันครับ เช่น NVU (web Editer),Sudoku (Game), GIMP (ประเภทตกแต่งภาพครับ) และที่เจ๋ง Photoshop cs,Illastator,Nod32 ก็มีครับ สามอันหลังไม่ได้ใช้ครับเลยไม่ค่อยสนใจ (จริง ๆ ใช้ไม่เป็นครับ เป็นแต่ corel draw เรียนมาแค่นี้ครับ ใครใช้เก่ง ๆ อยากได้ลูกสิทธิ์น่ารัก ๆ ติดต่อได้ครับ)

"แล้วจะไปหาจากใหน ฟะ" เป็นคำถามแรก ๆ ที่ผมถามเพื่อนไปหลังได้ลองเล่นโปรแกรมครับ อยากได้จิงจี้ง เพื่อนผมก็ใจดีครับ รีบจัดแจงเข้าเเว็บไปให้ผมดูว่าได้มาจากใหน แต่ไม่ทันไรกลับบ้านมาก็ลืมหมดครับ เพราะที่บ้านเพื่อนผมมีอะไรน่าสนใจกว่าโปรแกรมอยู่เลยเสียสมาธิไปครับ แต่ตาม step เด็กสมัยนี้ (ยัังเด็กอยู่ครับ) นึกไม่ออกบอก google ครับ มีหมดเลยครับ ที่ผมใช้เป็น keyword คือ firefox,portable คลิกไป ไวเหมือนโกหม มาแล้วครับ ชื่อเว็บ www.portableapps.com ครับ ผมใจร้อนครับ รีบเข้าไปดูเลยครับว่าจะทำอะไรได้บ้าง ก็เห็นโปรแกรมเต็มไปหมดเลยครับ (ตอนที่เขียนอยู่นี้มีีอันใหม่ update กว่าตอนที่เข้าไปดูแรก ๆ แล้วครับ) ไม่รอช้าผมก็รีบดูดเลยครับ โปรแกรมก็น่ารักครับ เล็กนิดเดียวเอง 7-8 MB เองครับลงไปสบายครับ (แต่ 0penoffice ใหม่กว่าเพื่อนครับ แต่เจ๋งกว่าเพื่อน ร่วม 70MB)

"แต่ลงไปแล้วผมทำอะไรกับมันบ้าง" หลายคนคงสงสัย ที่ผมใช้งานแล้วเกิดประโยชน์จริง ๆ ก็ firefox ครับ เป็น web browser ส่วนตัว สืบเนื่องจากความขี้เกียจ + ความขี้ลืมของผมครับมันเลยเป็นประโยชน์มาก ๆ เลยครับ เพราะผมไม่ต้องมานั่งจำและพิมพ์เว็บที่เข้าบ่อย ๆ จัดการ bookmark ไว้ในตัว firefox เป็นอันจบครับ ไม่ต้องมาจำอีกครับ แล้วหากบางเว็บเราไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเราเข้าไปนั้นก็ให้มาเข้าใน firefox ครับ เพราะเค้าจะไม่ไปโผล่ในคอมเครื่องที่เราใช้อยู่ เราเข้าเว็บก็จะไม่มีใครรู้อีกต่อไปยกเว้นเค้าเดินมาเจออันนี้ช่วยไมได้ครับ

อันต่อมาก็เป็น Abiword ครับ อันนี้ตอนยังไม่ได้ใช้ mac และกำลังเรียนอยู่จำเป็นมาก ๆ ครับ เพราะไว้พิมพ์งาน หรือไม่ก็ save ข้อความจากเว็บแล้วมาจัดแต่ง เพื่อทำรายงานครับ ทำให้เราทำงานง่ายขึ้นเยอะครับ แวบเดียวก็ได้รายงานเล่มหนึ่งแล้วครับ ง่ายมะ (อาจารย์รู้คงไม่ชอบ)

และอีกอันก็เป็น Thunderbird ครับ อันนี้ไว้รับส่ง mail ครับ อันนี้ใช้หนักตอนทำงานแล้วครับ ที่บริษัทเก่าเค้ามี mail ให้ครับ เราไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปที่เว็บเมล แค่เปิดโปรแกรมมาก็ใช้ได้แล้วครับ เค้าทำงานเหมือนกับ outlook ของ microsoft ครับค่อนข้างง่ายครับ

ที่ใช้ก็มีประมาณนี้ครับ ส่วน openoffice ตอนนั้นยังไม่ได้ลองครับ เพราะ flash memory ของผม (มิกกี้ เมาส์หัวเถิกของผม หากใครเคยเห็นคงนึกออก มันแค่ 256MB เองครับ ขายคอมเก่า ๆ สองเครื่องเพื่อซื้อมันมาครับ)

ต่อไปคงเป็นเรื่องของการ install ครับ ง่ายมัก ๆ ครับ เหมือนการ install ปกติทุุกอย่างแต่ไม่มีอะไรให้เรา yes no ok มากนักครับ แต่มีทริกนิดนึงครับเพื่อความเป็นระเบียบของการค้าหาโปรแกรมครับ

ขั้นแรกครับ เราก็ไปสร้าง Folder ไว้ใน drive ของเราก่อนครับ (อันนี้ใครจะใช้เป็น External HD,Flash Drive,Memory Card หรืออะไรก็ตามแต่ครับ แต่ของเราต้องคงเป็น iPod (บทความนี้เขียนมาซะยาวเพิ่งพูดถึง iPod ตอนนี้เอง) เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมตอนแรกไม่ตั้งไว้ ครับ ปรากฏว่าพอ install ไปพี่แกกระจายกันอยู่เลยครับ หากยากไปเลยพอจะใช้ที ส่วนชื่อที่จะตั้งก็แล้วแต่ครับ แต่ผมใช้คำว่า softwareportable ครับ บ่งบอกสถาณะทางสังคมดีครับ


ต่อมาเมื่อได้ Folder แล้วเราก็ไปเอาโปรแกรมมาครับ ที่ยังไม่ได้ install จากนั้นก็ ดับเบิลคลิกไปเลยครับ




ก็จะปรากฏ Dialog Box ขึ้นมาให้เราเลือกว่าจะเก็บโปรแกรมที่เราจะลงไปไว้ที่ใหน ตรงนี้ให้เราเลือกเลยครับ ที่ Folder software portable ที่เราได้เลือกไว้ครับ


เมื่อเลือกได้แล้วก็กด ok ได้เลยครับ โปรแกรมจะทำการ install ตัวเองลงไปที่ Drive ของเราครับ


จากนั้นเมื่อเสร็จแล้วเราก็ไปทำการเปิดตัว โปรแกรมที่เราลงไว้ได้เลยครับ เค้าจะทำงานเหมือนปกติครับ








แต่ผมขอย้ำก่อนนะครับ หากเราต้องการเอาออก drive หรือ iPod ของเราออกนั้นเราต้องปิดโปรแกรมก่อนออกทุกครั้งครับ ไม่อย่างนั้นโปรแกรมจะเสียครับ ต้องลบแล้วลงใหม่ครับ ส่วนหากใครที่ลงแล้วรู้สึกไม่ชอบก็สามารถลบตัว Folder ของโปรแกรมออกไปได้เลยครับ ไม่ต้อง Uninstall ครับ

เท่านี้ iPod ของเราก็กลายเป็น Office เคลื่อนที่ได้แล้วครับ ไม่ยาก หากคิดเป็นเจ้าของ (เอ๊ะคุ้น ๆ แฮะ)

หากสงสัยประการใด เหมือนเดิมครับ E-mail มาถามได้ครับ หรือหากอยากได้โปรแกรมมาขอที่ผมได้ครับ มันเป็น Free ware ผมสามารถให้ได้ครับ แต่ต้องเอา iPod มาดูดไปเองครับ

PIKMY

Thursday, March 22, 2007

EQ กับการใช้ iPod


สวัสดีครับ กลับมาอีกแล้วครับ กับบทความของผม PIKMY ไม่ทราบว่าพี่ ๆ เพื่อน ๆ มีความเห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ หากชอบไม่ชอบตรงใหนหรืออยากให้เขียนเรื่องใหนหรืออยากรู้เรื่องใหนสามารถแนะนำติชมเข้ามาได้นะครับ ยินดีรับทราบข้อผิดพลาดและพร้อมปรับปรุงครับ

OK ครับ วันนี้เรามาว่ากันต่อเรื่องของการจัดการ EQ หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Equalizer กันครรับ มีลูกค้าอยู๋หลายท่านครับ ถามเรื่องนี้มากันมากครับว่าน้องพี่จะปรับ EQ สำหรับ iPod ตรงใหนหรืออย่างไรดีครับ อันนี้ผมก้ตอบไปทันควันเลยครับว่า "แล้วแต่พี่ครับ" ลูกค้าฟังแล้วก็คงนึกในใจว่า "อะไรฟะถามแล้วยังมีการมาบอกว่าแล้วแต่พี่อีก กวนนี่หว่า" จริง ๆ ก็กวน เอ้ย ไม่ได้กวนครับ ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ ครับ เมื่อก่อนตอนผมทำงานขายเครื่องเสียงก็เหมือนกันครับ เจอคำถามแนวนี้ค่อนข้างบ่อยครับ แต่ส่วนมากมักจะเจอกับมือใหม่ครับ คนที่เล่นมานาน ๆ แล้วมักไม่ถามกัน แต่ถ้าให้ผมตอบก็คงคำตอบเดิมครับ ว่า"แล้วแต่พี่ล่ะครับ" เพราะคนเรานั้นความชอมไม่เหมือนกัน ตอนทำงานแรก ๆ ผมทำตามตำราเป๊ะครับ เลยมักมีคนเห็นผมยืนเถียงกับลูกค้าประจำครับ (แต่เดี๋ยวนี้น้อยลงแล้วครับ ถ้าหากลูกค้าคนนั้นไม่หลงป่าหิมพาน มาจริงๆ ก็จะ yes no ok thank you ไปตามแต่ความชอบของลูกค้าครับ)

หากจะให้อธิบายนะครับ ว่าทำไมเราถึงต้องใช้ EQ และใช่แค่ใหนนั้นครับ ก็ต้องขออธิบายออกมากันยาวเลยนะครับ ตั้งแต่การบันทึกเสียงมาเลยครับ

เริ่มแรกนั้นครับ ก็ต้องเริ่มที่การเล่นและบันทึกเสียงเลยครับ นักดนตรีเล่นไปตามอารมณ์ของดนตรี แต่คนบันทึกนั้นมีหน้าที่ทำการบันทึกออกมาให้เหมือนที่สุดสำหรับการบันทึกที่ต้องการความเหมือนจริง ต้องการสื่อถึงอารมณ์ของคนเล่นดนตรีให้มากที่สุด แต่ก็มีเพลงบางประเภทที่ในขั้นตอนการบันทึกนั้นเจตนาที่จะทำการดัดแปลงเสียงต่าง ๆ ภาพในเพลงให้มีความไพเราะไปตามแต่ style เพลง อันนี้เแล้วแต่ style เพลงครับ แต่หากสังเกตุดี ๆ แล้วนั้น อุปกาณ์ที่ Sound Engineer ใช้มาทำการ monitor นั้นมักจะมีความเป็นกลางสูงเรียกว่า เล่นไปหรือบันทึกมาอย่างไรก็ต้องฟังออกมาอย่างนั้น เหมือนไว้ก่อนเป็นใช้ได้ เพราะจะได้เป็นการอ้างอิง เพราะหากจะยึดว่าเสียงหวาน หรือทุ้ม หรืออะไร มันจะบอกยากครับ ว่าต้องการแค่ใหน ทำให้เรานั้นสามารถอ้างอิงได้ครับ ว่าอะไรถูกหรือผิดเพี้ยน


ในระหว่างขั้นตอนของการทำการทำแผ่นออกมานั้นก็ต้องออกมาเหมือนกันกับที่เราทำการบันทึกมา แต่ในขั้นตอนของการฟังนั้น โดยในอุดมคติแล้วนั้นต้องการให้เหมือนที่สุดครับ เหมือนกับมีนักร้องนักดนตรีมียืนร้องหรือเล่นดนตรีให้เราฟังอยู่ข้างหน้าเรา อย่างไงอย่างงั้นเลย แต่คราวนี้ก็เป็นปัญหาแล้วสิครับ ก็ห้องฟังของเราหรือชุดเครื่องเสียงของเรานั้นไม่เหมือน ทั้งเสียง วัสดุ การจัดวางต่าง ๆ ทำให้เกิดความผิดเพี้ยนกับต้นฉบับ นักฟังบางคนที่มีประสบการณ์ในการฟังดนตรีสูง หรือชอบฟังเสียงดีตรีจริง ๆ ก็เกิดความต้องการให้เกิดความเหมือนจริง จึงได้ทำการขวนขวายหากเครื่องเสียงที่ดี ให้ความเหมือนจริง ทำห้องให้เป็น monitor ทากที่สุด แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงมาก ๆ (หลักแสนไปจนถึงล้านก็มีให้เห็นเป็นปกติ)


อันนั้นสำหรับคนมีตังครับ แต่หากเราไม่สามารถทำห้องได้ หรือสภาพไม่เอื่ออำนวย หรือปรับสุด ๆ แล้วลำโพง หรือชุดมันได้แค่นี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เสียงโน้น เสียงนี้มันยังขาดไป คราวนี้ล่ะครับ EQ ของเราก็เป็นพระเอกขึ้นมาทันทีเลยครับ เพราะเค้าสามารถทำการเพิ่มและลดความถี่เสียงทีละย่านไปตามความต้องการครับ ดูเหมือนสะดวกครับ แต่ปรับยากมาก ๆ ครับ จะทำกันจริง ๆ ต้องมีประสบการณ์สูง ๆ หรือไม่ก็ต้องทีเครื่องในการช่วยวัดเสียงเป็นเรื่องเป็นราวเพราะเป็นการยากครับ หากหูเราจะจับความแตกต่าง เป็นย่าน ๆ ไป แต่นักดนตรีเก่ง ๆ เค้าทำได้ครับ แต่เราท่าจะยากครับ (ลืมบอกไปครับ เสียงต่าง ๆ นั้นเค้ายึดเอาจากจุดนั้งฟังครับ หรือจุดที่ต้องการจะฟัง)

ติ๊ต่าง ครับหากเราจับได้แล้วว่าอุปกรณ์ที่เราฟัง ไม่ว่าจะเป็นลำโพงหรือหูฟังก็ตามนั้นขาดย่าน ๆ ใหนไป เราค่อยมาปรับ EQ ให้ช่วยลดหรือเติมเต็มเอาย่านนั้น ๆ เอาครับ

เป็นไงครับ ดูยุ่งยากดีมั๊ยครับ กับกาารปรับ EQ อย่างถูกต้องเนี่ย แต่ที่ผมกำลังจะกล่าวถึงครับ คือการปรับให้เหมาะกับตัวเองครับ สำหรับคนที่ต้องการความเหมือนจริงนั้น เราก็ต้องหาก system (ชุดเครื่องเสียง) ที่มีความเป็น monitor ให้มากที่สุด แล้วไม่ปรับอะไรเลย ให้เค้าเป็น Flat ไปเลยครับ อันนี้ไม่ว่านักดนตรีบันทึกอะไรมาก็จะออกมาเหมือนจริง ตลอดครับ เพราะไม่ทีความเพี่ยนอะไรเลยระหว่างทาง (แต่อุปกรณ์ต้องเที่ยงตรงนะครับ)

แต่อีกแบบหนึ่งคือการปรับแบบที่ผมบอกไปครับ "แล้วแต่พี่ครับ" ตามแต่อารมณ์ของคนฟังเป็นหลักครับ เช่นหลาย ๆ คนคอบฟังเพลงที่บรรเลงสดประเภท Acoustic ก็สามารถไปปรับได้เลยครับเจ้า EQ นั้นจะทำการยกย่านความพี่เสียงกลางคือนไปทางสูงและย่านหัวเบส ให้สูงขึ้นทำจะให้เราได้ยินเสียงเครื่องดีตรีที่เป็นแบบ Acoustic ชัดขึ้น แต่แนะนำให้เลือกปรับครับ ว่าจะปรับ ณ ตรงใหนของ system จะตรงโปรแกรม ตรงภาคขยาย ก็ว่ากันไปครับ เลือกเอาสักที่ครับ เพราะหากเรามาปรับซ้ำซ้อนจะไม่ดีครับ จะควบคุมเสียงยากครับ หรือจะทำการปรับนั้นลองเลือกดูครับ ว่าใน system นั้นณจุดใหน EQ มีคุณภาพมากที่สุดครับให้ไปปรับตรงนั้น แล้วตรงใหนที่รองลงมาให้เค้าเป็น Flat ซะจะได้ไม่สร้างความเพี้ยนออกมาแทนที่จะปปรับให้มันดี


แต่สำหรับคนที่ใช้ iPod ครับ ผมแนะนำว่าต้นทางตั้งแต่ iTunes เป็นมาอย่างไรก็ให้มันเป็นไป แล้วเรามาปรับกันที่ iPod กันดีกว่าครับ เพราะง่ายดี และไม่ทำให้ต้นฉบ้บเสียหากไปกับการปรับ EQ ด้วยตัวเราเอง เพราะหากวันหนึ่งในอนาครเราอยากจะฟังเสียงที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งแล้วเราจะเสียดาย "ว้า....ด้นปรับ EQ ไปซะและแก้คืนก็ไม่ได้ด้วยเซ็งเลย"

เป็นอย่างไรบ้างครับ เต็มอิ่มมั๊ยครับ กับเรื่องของการปรับ EQ โดยหากให้สรุปอีกทีนะครับ ผมก็ขอเรียนคำเดิมครับว่า "แล้วแต่พี่ครับ" คนเราชอบไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ในการฟังเพลงก็ไม่เท่ากัน แนะนำกันแบบฟังธงคงยากครับ แต่ถ้าให้บอกว่า "แล้วแต่พี่" ง่ายมากครับและตรงที่สุด หากมีข้อเสนอแนะประการใดแนะนำติชมเข้ามาได้นะครับ ที่ pik-0001@hotmail.com ยินดีรับคำแนะนำแล้วพร้อมที่จะช่วยเหลือครับ ตอนหน้าสำหรับคนที่นำ iPod ไปทำเป็น office เครื่อนที่ ล้างคอรอไว้ได้เลยครับ (พูดอย่างกันหนังจีนแน่ะ)

PIKMY

Wednesday, March 21, 2007

เลือก iPod อย่างไร ให้ถูกใจเรา


สวัสดีครับ สืบเนื่องจากเมื่อวันก่อน ผมได้เจอกับคณลูกค้ารายหนึง ตอนนั้นผมกำลังเช็ดตูกระจกด้านหูฟังอยู่ ก็เห็นเค้ามายืนจด ๆ จอง ๆ มองตู้ iPod ของผมอยู่ (ในใจคิด ลูกค้ามาแล้ว) ด้วยความดีใจ จึงแอบเรียบ ๆเคียง ๆ เข้าไปโดยไม่ให้เค้ารู้สึกตัว

แล้วเอยถามไปว่า "ใช้รุ่นใหนอยู่หรือยังครับ"

คุณลูกค้าคนนี้อายุราว ๆ แม่ผม ก็ยิ้มแล้วตอบมาว่า "อ๋อยังไม่ได้ใช้อะไรเลย"

ผมก็เลยรีบแย็บออกไปว่า "อื่ม... อย่างนี้ต้องหาไว้ช้แล้วนะครับ"

คุณพี่เค้าก็ยิ้มแล้วตอบออกมาว่า "ก็ว่าจะหาอยู่เหมือนกัน ลูก ๆ ก็รบเร้าให้ซื้อ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรทำอะไรได้กันแน่"

ตัวผมเมื่อเจอลูกค้า ชงมาอย่างนี้ก็เลยอธิบายไปตาม step เลยครับ ตั้งแต่ cd ไปก่อนเลยครับ จน mp3 ,mp4 เรื่อยมาว่าจริง ๆ แล้วเจัาเครื่องเล่นจำพวกนี้นั้นเค้าเกิดมาเพื่อการใด เหมาะกับใคร คุณพี่เค้า แรก ๆ ก็ทำหน้างง ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ก็ทนฟังผม อธิบายจนจบ ไปได้ด้วยดี

เมื่อจบแล้วผมก็เลยถามว่า "คุณพี่เข้าใจแล้วใช่มั๊ยครับ ว่ามันเป็นเยี่ยงไร"
คุณพี่ก็พยักหน้าเขาใจ แล้วก็ถามผมตอไปว่าแล้วจะเลื่อกอย่างไรให้ถูกใจ ถูกเงินของคนซื้อ"

เอาล่ะสิ งานนี้ตัวแปรเยอะเลยครับ ตัวผมเห็นว่ายาวแน่เพราะเป็นเรื่องที่คนซื้อเองต้องทำการบ้านแล้วล่ะ ว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วจะนำ iPod ไปทำอะไรบ้าง เลยเป็นที่มาของบทความนี้

การแบ่งประกลุ่มของคคนที่ใช้ iPod แต่ละรุ่นนั้นจะขอแบ่งออกตามการใช้งานเป็นหลักครับ โดยไม่สนงบประมาณ เพราะตรงนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจครับ คำแนะนำไม่ค่อมมีผลเท่าไรครับ

iPod นั้นแบ่งออกเป็น 3 series ครับ คือ iPod ,iPod nano และ iPod shuffle ครับ


ขอเริ่มที่ iPod shuffle ก่อนครับ เรียงจากเล็กไปหาใหญ่
iPod shuffle นั้น ถูกออกแบบมาสำหรับคนที่ต้องการมีเสียงเพลงเป็นเพื่อนขณะเดินทาง โดยเน้นที่น้ำหนักตัวที่เบา ความง่ายดายในการใช้งาน ความสะดวกในการพกพา (Clip and G0) และสวยงาม ซึ่งจะเหมาะมาก ๆ กับคนที่เดินทางบ่อย ๆ ไม่สนใจเรื่องการมานั่งเลือกเพลง ตรงนี้หากจะจัดกลุ่มก็คงเป็น คนทำงาน office ทั้งหลายที่เวลาระหว่างวันนั้นแสนจะรีบเร่่ง นักกีฬาหรือคนรักสุขภาพทั้งหลายที่่หูว่างจากเสียงเพลงนาน ๆ ไม่ได้ (่จะลงแดงตาย) วิ่งไปฟังเพลงไป ตีไปหนึบไป (Clip) เก๋จะตายไป และอีกกลุ่มคนที่ลืมไปไม่ได้เลยคือวันรุ่นทั้งหลายเนื่องด้วยหน้าตามของเจ้า shuffle ที่ อุ๊ย..น่่ารักจัง เล็กนิดเดียวเอง (เอามาจากประโยคที่ลูกค้าที่เห็นครั้งแรกพูดบ่อย ๆ ครับ) shuffle อันนี้เห็นน้อง ๆ แถวสยามพกกันเยอะครับ (เห็นตอนเดินกลับบ้านครับ เดี๋ยวจะหาว่าโดนงานไม่เฝ้าร้านไปเดินเหร่สาวที่สยาม)

สรุปเป็น หากต้องการเก๋ ๆ เล็ก ๆ พกสะดวก ไม่จำเป็นต้องเลือกเพลง ปล่อยให้ shuffle จัดการเป็น dj ส่วนตัวให้เราเอง ล่ะก็ iPod shuffle จัดว่าเป็นเพื่อนคู่หูที่เหมาะกับเราที่สุดเลยครับ


แต่หาก 240 เพลงไม่พอ ของฉันต้อง 1,000 เพลง ต้อง iPod nano เลยครับ เจ้าตัวนี้เป็นเพื่อนที่ดีของคนที่รักการฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ต้องการพกของหนักมาก และอยากมีรูปติดไปดูด้วยแก้เหงาระหว่างเดินทางไปใหนไกล ๆ (แบต อยู่ได้ตั้ง 24 ชั่วโมงแน่ะ) ขนาดที่เล็ก จุเพลงมาก สามารถเลือกเพลงได้ (แต่ยังมีฟังชั่น shuffle สำหรับ DJ ส่วนตัวอยู่) อันนี้ก็เหมาะกับเรามาก (คนเลือกมาก)

สำหรับคนที่เหมาะ จะนำ iPod nano ไปเป็นเพื่อนแก้เหงานั้น ค่อนข้างกว้าง เพราะขนาดไม่ใหญ่มาก ความจุเยอะ (2,4 และ 8GB) จะเอาไปเก็บงานแทน flash drive ก็ได้ (เห็นทำกันเยอะนะครับ บางคนถึงกับเอาไปลงโปรแกรมเลยครับ จำพวกโปรแกรท portable ทั้งหลาย Photoshop ยังมีเลย ผมก็เคยเล่น) น้ำหนักที่เบา เวลานำไปออกกำลังกายด้วยเช่นวิ่ง เล่นฟิตเนส ก็ได้ ถึงขนาดมีการออก product ร่วมกันระหว่าง nike กับ iPod เลยครับ

nike+iPod เป็นรองเท่าที่ติด sensor ไว้คอยจับก้าวการวิ่งของเรา ระยะเวลา แล้วนำมาคำนวนว่าเรานั้นเผาผลาน พลังงานไปเท่าไรแล้ว และยังสามารถนำขึ้นเว็บไซท์เพื่อไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ก็ได้ จะนำไปเป็นเฟอร์นิเจอร์ (เครื่องประดับครับ ไม่ใช่ที่่รองขาตูักับข้าว) ก็ดีครับ เพราะเค้ามีให้เราเลือกตั้ง 6 สี ทำให้เราสามารถนำมา match กับเครื่องประดับหรือการแต่งตัวของเราก็ได้ครับ สวยดี แถมยังไฮโซ อีกด้วย


สุดท้ายกับ iPod (บ้านเราเรียก iPod Video) มีสองความจุ 30GB กับ 80GB ซึ่งมากโขอยู๋ เรื่องความจะนั้นคงไม่ต้องอธิบายกันมากครับ เคยมีลูกค้าเอา iPod 80GB มาอวดครับ เค้าบอกว่าเค้ามีเพลงตั้งแต่เค้าเริ่มสนใจฟังเพลง จนตอนนี้ อายุ 28 เข้าไปแล้ว เกือบครบ (เฉพาะที่เค้าชอบฟังนะครับ) เรียกว่าเกิดอยากฟังเพลงใหน ได้เลยป๋าจัดให้ มีครับมีหมด ผมลองสุ่มเล่น ๆ มีเพียบครับ อย่าง bakery มีแทบหมดค่ายครับ (พี่บอยเห็นคงเป็นปลื้ม) พอถามเรื่องหนังเค้าบอกว่ามีไม่เยอะครับ แสดงให้เห็นว่าเจ้า iPod นั้นนับเป็นสุดยอด jukebox ของเราเลยครับ ค้นหาก็ง่าย จะเก็บเยอะก็ได้ เหมาะจริง ๆ สำหรับ นักฟังเพลงตัวยง

ถ้าพูดถึงนักฟังเพลงล่ะกํคงจะละเลยนักเล่นเครื่องเสียไปไม่ได้เป็นอันขาดครับเพราะป๋า ๆ เค้าก็มีหลาย ๆ ท่านที่เอา iPod ไปเป็นแหล่งสัญญาณ ครับ


จะนำไปใช้กับเครื่องเสียงบ้านแล้วใช้สายดี ๆ เช่น monster cable,kimber cable,merrex cable,tributary หรือจะเล่นหิ่งไปเล่น Nordost ก็มีคนเล่นมาแล้ว (ยังไม่เคยเห็นตัวเป็น ๆ แต่เคยเห็นในหนังสือ ใครอยากเห็นสายตัวนี้ตัวเป็น ๆ ราคาเส้นล่ะ 10,000 บาทขาดตัว ไปดูได้ที่ Deco ที่ siam discovery ได้ครับ) อันนี้เป็นส่วนของเครื่องเสียงบ้านครับ ส่วนคนที่จะนำไปเล่นกับเครื่งเสียงรถยนต์ก็มีครับ อันนี้เห็นบ่อยถึงบ่อยมาก การเอาไปเล่นในรถนั้น ถ้าจะให้คุณภาพเสียงดีในระดับที่นักฟังพอใจได้นั้น คงต้องใช้สายครับ ใช่เป็น fm transmitter ไม่ดีแน่ครับ เพราะเราต้องไปกลัวกับย่านที่มีอยู่แล้วเข้ามากวน ใหนรถบางคันติดเสาอากาศไว้ในรถหรือตรงกระจกรถก็ใช้ได้ไม่ดีอีก สายชัวร์สุดครับ ถ้าเล่นในรถควรเน้นายที่เค้า ชีลมาดี ๆ หน่อยครับ ในรถตัวกวนเพียบครับ


อีกกลุ่มครับ อันนี้จะทำเป็นลืมไปไม่ได้เป็นอันขาด เกิดพี่ ๆ เค้าอ่านเจอว่าลิมพวกเค้าไปเรื่องใหญ่เลยครับ คือกลุ่มที่เป็นนักเล่นและนิยมใช้หูฟังดี ๆ หลัง ๆ นี้เริ่มเห็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ครับ จังเกตุว่าร้านขายหูฟังหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับหูฟัง เค้าเริ่มมีสินค้ามาสต็อกมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นไปตามกลไกตลาดครับ (ดีมาน ซัพพลาย เดี๋ยวถามว่ากลไกอะไรฟะ) หูฟังที่เป็นที่รู้จักนั้นมีหลายยี่ห้อครับ ตั้งแต่เป็น mass เช่น sony,panasonic,philips เป็นต้น เอาว่าเป็นยี่ห้อที่คุ้น ๆ หูแล้วเค้าทำสินค้าเยอะแยะไปหมดตั้งแต่ tv ไปยัน โทรศัพท์ ครับ อันนี้เรียนไว้ครับ ว่าไม่ใช่ของเค้าไม่ดีครับ หลาย ๆ ตัวเสียงใช้ได้เลยครับ สวยด้วย แต่หากเป็นยี่ห้อที่ไม่ใช่ mass นั้นเค้ามีการทำ R&D มาอย่างต่อเนื่องครับ เลยทำให้สินค้าของเรามีเทคโนโลยีที่สูงกว่า และพิถีพิถันในการทำมากกว่าในหลาย ๆ รุ่นและหลาย ๆ ยี่ห้อ ยกตัวอย่าง ยี่ห้อ Shure นั้นหากไปดูในเว็บของเค้า จะเห็นว่ามีเอาสารสอนการใช้หูฟังของเค้าเป็นรายรุ่น ๆ ไปด้วยซึ่งทำให้เห็นถึงความตังใจในการออกแบบของวิศวะกรของบริษัทนั้น ๆ หลาย ๆ รายนั้นทำหูฟังหรืออุปการณ์เกียวกับเครื่องเสียงมานานมาก ๆ แล้ว จึงเอาไปเปรียบกับยี่ห้อที่เป็น mass ไม่ได้ครับ กระดูกคนละพ.ศ. ครับ ร่ายมาซะยาวเลยครับ สำหรับกลุ่มที่นิยมเล่นหูฟังนั้นมีมากขึ้นมากครับ เป็นการลงทุนให้เสียงที่เราฟังดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องลงทุนมากมายนัก หูฟังราคาแค่ 7,000 กว่า ๆ หากไปเทียบกับลำโพงราคเท่ากัน เสียงฟัากับเหวเลยครับ ลำโพงกระจอกไปเลยครับ อันนี้เรื่องจริงครับ ไปหาลองดูได้ครับ ผมเจอมากับตัว

และอีกกลุ่มที่นำ iPod ไปดูหนังนั้นก็มีอยู่พอตัวครับ หนังที่เอาไปดูนั้นก็มีอยู่หลายแหล่งครับ จะซื้อผ่าน iTunes store หรือจะ Rip โดย software ทั้งหลายก็ได้ครับ iPod 30GB ตัวหนึ่งสามารถเก็บหนังได้ประมาณ 27 เรื่องครับ ตกเรื่องละกิ๊กกว่า ๆ ครับแล้วแต่ความยาวของหนังด้วยครับ

หนังนั้นหลายคนเอาไปดูในรถเวลาขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล ๆ (คนนั่งได้ดูแต่คนขับเจ้าของรถมักไม่ได้ดู) หรือเอาไปดูในโรงแรมหากเกิดเบื่อ true vision เอาไปดูบ้านเพื่อนตอนไปอ่านหนังสือสอบ แต่ที่เก๋ครับ ผมเห็นเพื่อคนหนึ่งเค้าเอา karaoke ติดไปรองงานวันเกิดเพื่อนอีกคนหนึ่งครับ มีเป็นร้อยเพลงไม่ต้องง้อแผ่นกับ DVD ครับ แจ๋วมากครับ

เป็นไงครับ เขียนมาซะยาวยืดเลยครับ คงพอจะเป็นไอเดียให้หลาย ๆ ท่านที่กำลังสับสนว่าจะเลือก iPod รุ่นใหนให้กับตัวเองครับ อย่าลืมครับ เราต้องตั้งโจทษ์ก่อนครับ ว่าเราต้องการนำ iPod ไปทำอะไรกันแน่ครับ เลือกให้ตรงแล้วเราจะใช้ iPod ได้อย่างสนุก และเต็มประสิทธิ์ภาพครับ

PIKMY

Friday, March 16, 2007

ดูรูปสวย ด้วย iPod


สวัสดีครับ วันนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องของ การนำภาพมาดูใน iPod ตัวเก่งของเรากันครับ แรงบันดาลใจในการเขียนบทความนี้มีอยู่ว่า เมื่อวันก่อนพี่ที่ร้าน true urban park siam paragon เค้าซื้อ iPod nano มาใหม่ (แต่ไม่ได้ซื้อกับผม ฮึ่ม!!! คนกันเองแท้ ๆ ใจร้าย) แล้วเค้ามีปัญหาเรื่องของการนำเอาภาพลงไปดูใน iPod ครับ เค้าเลยมาถามผมว่าทำอย่างไร ประจวบเหมาะกับกำลังหาเรื่องมาเขียนอยู่เลยครับ เลยออกมาเขียนเป็นบทความซะเลย

OK มาเร่ิมกันเลยครับ การนำภาพมาลงเจ้า iPod ของเรานั้นไม่ยากครับ

เริ่มแรกเราต้องมาคุยถึงเรื่องการจัดระเบียบ file ภาพในคอมพิวเตอร์ของเราก่อนครับ แนะนำว่าให้มาเก็บรวมกันไว้ที่ My Picture ครับ แล้วจากนั้นให้เราแบ่งเป็น Folder แยกหมวดหมูีกันให้เป็นระเบียบเพื่อจะได้ง่ายเวลาที่เราจะทำการจัดเก็บ file และค้นหาเอาออกมาใช้งาานครับ


เมื่อเครื่องเราเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วให้เรานำ iPod ของเราเสียบเข้ากับ คอมพิวเตอร์ ไม่ช้าโปรแกรม iTunes ก็จะเด้งขึ้นมา


จากนั้นคลิกที่ icon iPod ตรง sidebar ด้านซ้ายมือ แล้วให้ไปที่ tab Photo ของตัว iPod


ที่ Tab นั้นเราจะเห็นว่ามีช่องให้เราติ๊ก อันบนสุดนั้น sync photo from_____________ ตรงนี้ให้เราติกแล้วเลือกว่าจะเอารูปมาจากใหน


อย่่างที่่ได้กล่่าวไว้แล้วว่าให้เรียงภาพใน my picture ให้ดี เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการค้นหา คราวนี้ให้เราเลือกที่ my picture จากนั้นเมื่อเราเลือกแล้วเราก็จะเห็นภาพที่อยู่ในนั้น โดยแยกเป้น Folder


ต่อมาเราจะเห็นว่ามีอีกสองบันทัดด้านล่างมีช่องให้เราติ๊กอีกสองช่องด้านบนนั้น (All Photo and Albums) หากเราเลือกโปรแกรม iTunes จะทำการ Download ภาพทั้งหมดจาก my picture เข้ามาที่ iPod ของเรา


แต่หากเราเลือกที่ช่องที่สอง (Select Albumes) จะเป็นการเลือกภาพเองจากใน My pucture ของเรา อันนี้จะเหมาะมากกว่า เพราะมันจะได้ไม่หนัก iPod ของเรามากนัก เพราะหากดึงมาหมดล่ะก็ คงหนักน่าดู (กรณีเราเลือก Full Resolutions)

เมื่อเราเลือกภาพได้แล้วให้เราไปกด Apply เป็นอันเสร็จพิิธี

แต่มี Tip อีกนิดหนึ่งครับ หากเราต้องการนำภาพไปฉายออกจอใหญ่จำพวกงาน presentation นั้น เราต้องเลือก Include full-resolution photos เราโปรแกรทจะทำการบันทึกภาพใน resolution แบบต้นฉบับ ซึ่งหากเราถ่ายมาสูงมาก ๆ เราก็จะสามารถฉายออกจอที่ใหญ่มาก ๆ ได้โดยที่ภาพไม่แตกครับ

เมื่อเราได้ภาพมาอยู่ใน iPod ของเราแล้วนั้น เราสามารถเข้าไปดูได้โดย เลือกที่หน้าแรก (กด Menu ค้าง) เลือกที่ Photo จากนั้นเราจะเห็นว่ามีการแบ่งออกเป็น Folder (หากเราเลือกลึกเกินไปจนไปถึง Folder ที่เราเก็บภาพไว้ ภาพที่เราเลือกมานั้นจะไม่ถูกแยกเป็น Folder แต่จะไปกองรวมกันอยู่ใน library ไม่แยกกันอย่างที่ต้องการ)

ขั้นต่อมานั้นก็คือการ Set ค่าการ slideshow

อันแรกคือ Time per slide เป็นการกำหนดค่าเวลาในการ slide ของตัวภาพ เราสามารถ กำหนดให้เป็นการเลือกเองก็ได้ (manual) เหมาะสำหรับการนำภาพไป Presentation หรือจะกำหนดให้เค้าเคลื่อนไปตามเวลา หน่วยเป็นวินาที เมื่อเลือกได้แล้ว ให้กด select (ตรงกลาง)

อันต่อมาเป็น music เป็นการกำหนดว่าเราจะเลือเพลง ๆ ใหนให้เป็นเพลงประกอบตอนทำ Slideshow หากเป็นพวกงานนำเสนอต่าง ๆ แนะนำให้ใช้เป็นเพลงประจำสถาบันที่ไม่มีเนื่อร้อง หรือเพลงคลาสสิคที่ จังหวะเบา ๆ ไม่่มีความเคลื่อนใหวมากนัก (หากมากมันจะไปดึงความสนในคนฟังให้ไปฟังเพลงแทนที่จะฟังเรา) ตรงนี้เค้าจะเลือกออกมาทั้ง Playlist เลย แนะนำว่าให้เรานำการสร้าง playlist ใหม่แล้วตั้งชื่อเฉพาะงานไว้ ใน itunes แล้วโหลดเข้ามาตามปกติ แต่หากฉุกละหุกจิริง ๆ เราไปเลือกที่ :playlist แล้วสร้างเป็น On the go ก็ได้ (ไปเลือกที่เพลงที่ต้องการแล้วกด Select ค้างให้ชื่อเพลงกระพริบ สองที แล้วเพลงนั้น ๆ จะไปโผล่ที่ on the go) อันนี้ใช้บ่อยครับ เวลา Demo แล้วเกิดเบื่อเพลงที่ทำเป็น Playlist ก็ Add มันโลด

อันต่อ ๆ มาจะเป็น Shuffle กับ Repeat เราก็เลือกว่าจะให้เค้า Random ภาพและจะทำการเล่นภาพซ้ำหรือไม่

และอันสุดท้ายครับ ภาพของเรานั้นจอนำออกไปฉายออกจอภายนอกได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตรงนี้ล่ะครับ คือ การเลื่อก TV out ให้เป็น On หรือ Off และเรายังสามารถเลื่อกได้ด้วยว่า ทีวี หรือจอที่เราจะนำไปออกน้นเป็นระบบใหน PAL หรือ NTSC เลื่อกได้ครับ (ส่วนมากจอแถบบ้านเราเป็นแบบ PAL ครับ)

ครับ เมื่อเราตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว เราก็ถอยออกมาที่หน้าหลักของ Photo แล้วเลื่อก Album ที่เราต้องการได้เลยครับ โดยการเลื่อนไปเลื่อกที่ Album นั้น ๆ และกด Play เป็นอันใช้ได้ครับ เท่านั้นภาพก็จะเล่นออกมาพร้อมกับการ slide ที่เราตั้งไว้ (แตหากเรากด Select จะเป็นเพียงการดูภาพทีละภาพ ไม่ได้เป็นการ slideshow)

และหากเราต้องการนำภาพใน iPod ของเราไป แบ่งคนอื่นดูก็เพียงหาอุปกรณ์ต่อพ่วงภาพแลเสียงมาต่อเป็นใช้ได้ครับ ซึ่งตรงนี้ผมมีข้อเสนอแนะครับ ในกรณีที่เป็นงาน Presentation และเป็นงานแบบข้ามาคนเดียว ไมมี Team ก็แนะนำครับ ให้ไปหาชุด Docking สำหรัีบควบคุม iPod มาช่วยครับ


เพราะในชุดเค้าจะมี Dock,Remote และสาย AV มาให้เสร็จ เพียงแค่เรานำ Dock ไปต่อเข้ากับ Jack AV ของชุดภาพและเสียง นำ iPod ไปตั้ง แค่นี้เราก็บรรเลงเดี่ยวได้แล้วครับ แต่ถ้างานไม่เป็นทางการมากนักครับ เราอาจจะเอาสาย AV ไปเส้นเดียวก็ได้ครับ แล้วเรานั่ง ควบคุมเองจาตรง Jack แล้วใช้ laser ยิงจากตรงนั้นก็ได้ครับ

แต่หากจะนำภาพที่ถ่ายในตอนไปเที่ยว มาดูที่โรงแรม ซึ่งภาพนั้น ถูกดูดจากกล้อง Digital โดยใช้ Camera Connecter ก็เพียงแค่มีสาย AV เส้นเดียวเราก็ดูกันได้แล้วครับ

คำเตือนครับ การ Sync Photo ใน iPod ของเรานั้นจะต้องทำกับเฉพาะเครื่องหลักของเราเท่านั้น เพราะหากเราไปทำการ Sync กับเครื่องอื่นเจ้าโปรแกรม iTunes จะทำการลบภาพเก่าไปก่อนเลยครับ แล้วค่อยลงภาพใหม่เข้ามาทีหลัง ซึ่งทำให้ภาพที่เคยมีอยู่บน iPod ของแล้วนั้นหายไปหมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจครับ แต่ต้องระวังครับ

เรียบร้อย ไม่ว่าจะดูเล่น ๆ ขำ ๆ หรือจะเอาไปทำมาหากินก็ได้ ง่ายนิดเดียวเองครับ

PIKMY

Tuesday, March 13, 2007

ภาษาไทยกับการใช้ iPod



สวัสดีครับ อันด้วยปัญหาภาษาไทยบน iPod นั้นจัดว่าเป็นปัญหาระดับชาติเลยครับ หากวันหในที่ผมได้เจอลูกค้าที่มี iPod เป็นของตัวเองแล้วเค้าไม่ได้ถามเรื่องภาษาไทยใน iPod แล้วผมคิดว่าเป็นเรื่องแปลกครับ เพราะได้ยินแทบทุกวันและแทบกับทุกคนด้วยครับ

ซึงปัญหานี้นั้นผมก็ไม่รู้จะไปทำอย่ายไรได้ครับ ไม่่ได้เป็นญาติฝ่ายใหนของคุณจ็อบส์นี่ถึงจะได้ไปอ้อนให้เค้าติดตั้งภาษาไทยให้มากับ iPod ซะเลยตั้งแต่แรกจะได้ไม่เป็นปัญหาสำหรับพี่ ๆ ที่ต้องการภาษาไทยทั้งหลาย

แต่ปัญหานี้หากพี่ ๆ น้อง ๆ คนใดที่ได้เจอกับผมแล้วหยิบยกเรื่องการลงเพลงภาษาไทยใน iPod มาพูดแล้วมักจะได้คำตอบจากผมเป็นว่า "อย่าไปลงมันเลยพี่ ใช้ไม่ได้ก็อย่าไปใช้มัน ลงเป็น karaoke ดีกว่าสะดวกกว่าเยอะ" แต่กับบางท่านก็ให้ความเห็นมาว่า "อ่าวก็พี่อยากใช้นี่จะให้ทำอย่างไรล่ะ" ตันนี้ต้องตอบครับว่าทำใจหรือไม่ก็ต้องเสียตังมันโลดครับ

จริง ๆ แล้วทางออกของปัญหานี้ทีอยู่ด้วยกัน 2 ทางครับ

อย่างแรก ก็ไปลง Firmware ให้เป็นภาษาไทยซะก็สิ้นเรื่องครับ แต่การลงนั้นก็ีีมีอยู่ด้วยกันสองแบบครับ แบบแรกเป็้นลิขสิทธ์ครับ กับอย่่า่งที่สองก็เป็นแบบเถื่อน ซึ่งแน่่นอนครับ อย่างแรกแบบลิขสิทธิ์นั้นต้องดีกว่าอยู่แล้วครับ รับรองไม่มีปัญหาถึงมีก็มีคนรัับผิดชอบ (หรืออย่างน้อยก็ด่าได้ถูกคนหากมีปัญหา) แต่ข้อเสียของแบบแรกครับก็คือ เสียตังครับ จริง ๆ มันก็แน่อยู่แล้วครับ มีคนเขียนให้ใช้ก็ต้องมีคนเสียตังเพื่อซื้อครับ ซึ่งค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาท ไม่รวมค่าน้ำมันรถหรือค่ากิน (เวลาออกนอกบ้านบอกสิว่าคุณไม่ทานอะไร) ตีเล่น ๆ แค่ลงภาษาไทยครั้งหนึ่งต้องเสียเงินเกือบ 700 บาท ครับ แล้วถ้ามีการ restore เครื่องหรือลง Firmware ใหม่เมื่อไร ซึ่งโดยขั้นตอนแล้วนั้น iTunes ของเราเค้าจะทำการ Format (คำนี้อ่านแล้วแสลงใจครับ) ซึ่งแปลว่าทุกอย่างในเครื่องหายโมดเลยครับ รวมถึงภาษาไทยที่เราไปลงมาด้วย (ต้องบอกก่อนครับเดี๋ยวหาว่าขู่ ครั้งแรกน่ะลงฟรี แต่ครั้งต่อไปเสียตังครับ) ทำให้เราต้องไปลงกันใหม่ และเสียตังกันใหม่

การลงแบบที่สองครับ คือการลงแบบเถื่อน อันนี้ไม่แนะนำครับ เพราะหากมันลงไปแล้วทำให้เครื่องมีปัญหา เราไม่สามารถหาคนมารับผิดชอบได้ครับ เพราะเค้าทำมาแล้วเราสมัครใจลงเอง ซึ่งหากลงแล้วไม่มีปัญหา ก็ดีไปครับ แต่หากลงแล้วเจ๊ง อันนี้ก็แย่ครับ สำหรับการลง Firmware เถื่อนแล้วจะมีปัญหากับการรับประกันหรือไม่นั้นครับ ผมได้เคยถามกับทา AppleThai แล้วครับและก็ได้คำตอบที่ว่า ประกันก็หลุดสิน้องเพราะไม่ได้มาจากการใช้ตามปกติ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเพราะเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุดเลยครับ แต่ผมก็ได้ถามต่อไปว่ามีความเป็นไปได้มั๊ยที่หากเราลง firmware แล้วจะทำให้ hardware เสีย ทาง AppleThai เค้าก็บอกว่ามีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกันครับ แต่อาจจะยังไม่เคยเห็นจะ ๆ แต่เราจะเอาเครื่องที่แสนรักของเราไปเสี่ยงทำไมล่ะ

ทางออกที่สองนั้นก็คือการ rename ครับ แก้ให้มันเป็นภาษา karaoke ซะก็สิ้นเรื่องครับ เรียบง่ายแต่ได้ผลดีในระยะยาวครับ ตอนแรกอาจจะเหนื่อยหน่อยครับ แต่รับประกันไม่เสียเงินแต่อาจจะเครื่องด้วยครับ แถมหากมีการออก Firmware ใหม่ ๆ เราก็กล้าที่จะลงได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ รักเครื่องเสียดายภาษาไทย ซึงการ update Firmware ใหม่ ๆ อยู่เสมอนั้นจะทำให้เครื่องเราทำงานได้ดีอยู่เสมอเพราะ Firmware ใหม่ ๆ นั้นก็จะมีคุณสมบัติหใหม่ ๆ หรือแก้บักเก่า ๆ ที่ติดมากับเครื่องอยูเสมอครับ

การ rename นั้นก็ทำได้ม่ยากครับทำได้ง่าย ๆ ใน iTunes ของเราเองครับ โดยมีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้ครับ

ขั้นแรกเราก็ ทำการ import เพลงต่างๆ ของเราเข้ามาอยู่ใน playlist ของเราก่อนครับ จากนั้นก็เปิด playlist ขึ้นมาครับ


คลิกไปที่ชื่อเพลงที่เป็น track 1 หนึงครั้งครับ ตัวชื่อเพลงนั้นก็จะกลายเป็นช่องให้เราสามารถแก้ชื่อเพลงได้ ทำไปทีละเพลง อาจจะดูเหนื่อยนิด ๆ ครับ แต่รับประกันไม่นานมากครับ ที่สำคัญถ้าเป็นไปได้ความมีปก CD หรือชื่อเพลงติดมาด้วยจะได้ง่ายไม่ต้องไล่เปิดฟังทีละเพลงแล้วนั้นนึกว่าเป็นเพลงอะไร ใครร้อง

เมื่อเราแก้ชื่อเพลงเรียบร้อยแล้วนั้นเราก็มาทำการเพิ่มเติมรายละเอียดของเพลง ซึ่งหาก เป็น CD ที่เราหรื่อเพื่นเขียนมาให้ ก็ลำบากนิดครับ ต้องมาแก้ทีละเพลง โดยการคลิกขวาที่ชื่อเพลง


แล้วคลิกไปที่ Get info จากนั้นจะมีหน้าต่างเด้างขึ้นมาก็แก้ตามนั้นได้เลย เมื่อเสร็จแล้วก็คลิก OK ก้เรียบร้อยไปหนึ่งเพลง


แต่หากเป็นแผ่นเดียว มาด้วยกัน อันนี้ง่ายครับ ให้เราทำการเลื่อกทุกเพลง (select all) แล้วคลิกขวา แล้วเลือก Get info


แล้วจะปรากฏ dialog box ขึ้นมาขอกเราว่า Are you sure you want to edit information for multiple items? ให้เราคลิก OK ไปเลยครับ (แน่สินไม่แน่ใจแล้วจะเรื่อกทำไม)


หน้าต่างที่ให้เรากรอกรายละเอียดก็จะปรากฏขึ้น เราก็แก้ไปตามที่ต้องการได้เลย แต่ที่น่าสนใจคือ Artwork อันนี้หากเราไปหารูป album มาได้ (ผมชอบไปหาที่ Google ครับง่ายดี) ก็สามารถลากมาใส่ได้เลย


เมื่อเรียบร้อยแล้วก็คลิก OK เป็นอันเรียบร้อย แล้วข้อมูลต่าง ๆ ก็จะไปติดอยู่กับเพลงทุกเพลงของเรา

เพิ่มเติมสำหรับประโยชน์ของรายละเอียดของเพลง (information) บาคคนคิดว่ามีแค่ชื่อเพลงแล้วก็จบเรื่องไป ไม่เห็นต้องเรื่องมากเลย อันนี้แล้วแต่ครับ แต่หากเราเติมรายละเอียดไปด้วยจะเป็นประโยชน์มาก เมื่อเราต้องการค้นหาเพลงเป็นราย ศีลปิน,อัลบัม หรือประเภทเพลง เจ้าข้อมูลนี้จะเป็นตัวที่ทำให้โปรแกรมสามารถแยกประเภพและค้นหาเจอได้ครับ

จบแล้วครับ สำหรับการ rename ไม่ยากเลยครับ และก็ทำให้เราแก้ปัญหาเรื่องภาษาไทยในiPod ของเราไปได้ก่อนเปราะหนึ่ง อย่างไม่ยากเย็น แต่ถ้าจะให้ชัวร์ครับ คงต้องรอให้ทาง Apple นั้นใส่ภาษาไทยลงมาด้วย จะทำให้ปัญหานี้หมดไปครับ ไม่ต้องมานั่งเสียตัง หรือเสียเวลา rename กันอีก ครับ

หากมีข้อสงสัยหรือมีคำแนะนำอะไรสามารถแนะนำติดชมมาได้ที่ E-mail ของผมได้เลยครับ ยินดีรับทุกปัญหาและข้อแนะนำครับ

สวัสดีครับ

PIKMY

Friday, March 02, 2007

การ sync เพลงลง iPod


สวัสดีครับ มาเจอกันอีกแล้วครับ สำหรับบทความนี้ครับ ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนความจำครับ สำหรับ iPod User ทั้งใหม่ที่เพิ่งซื้อไปสด ๆ ครับ กับอีกหลาย ๆ คนที่รู้สึกว่าการ Sync เพลงหรือหนังลงใน iPod นั้นเป็นเรื่องยุ่งยากปวดหัว และหลายคนก็เจ็บปวดครับ

ก่อนอื่นผมขอยกกรณีศึกษาสัก 2 เคส นะครับ ว่าการไม่เข้าใจการใช้ iTunes อย่างถ่องแท้และไม่มีที่ปรึกษานั้นเจ็บปวดแค่ใหนนะครับ

เคสแรกครับ ผมเจอตอนที่ผมเร่ิมมาทำงานขาย Apple ใหม่ ๆ ช่วงนั้น iPod King ขายดีมากครับ (ราคาเริ่มถูกลงแล้วครับ คนไทยชอบซื้อของถูก โดยไม่ดูว่าของที่ตนซื้อนั้นมีใครเป็นผู้เกี่ยวของบ้าง ขนาดมีชื่อต่อท้ายว่า King ยังรอถูกค่อยซื้อเลยครับ ส่วน Red) เจ้า iPod King นั้นภายในนั้นมีการลงเพลง และ File Video พระราชกรณียกิจของ ของในหลวงของเราอยู่ด้วย สำหรับรุ่น Video ครับ ผมได้รับคำติติงของลูกค้าบ่อยมากครับในช่วงเวลานั้นว่า ทำไมเวลาลงเพลงไป ใน iPod แล้ว File ที่มีอยู่ก่อนถึงหายหมด บางรายถึงกับบ่นว่าไม่ได้ใส่มาให้เลยก็มีครับ อันนี้ผมถือว่าเป็นความผิดของคนขายนะครับ ที่ไม่บอกวิธีการ Sync อย่างเหมาะสมให้กับลูกค้า (ผมถือว่าถ้า Sync แล้วมีเพลงเข้าเครื่องถือว่าถูกนะครับ แต่ Sync แล้วเพลงหายโดยไม่ตั้งใจถือว่าไม่เหมาะสมครับ เพราะไม่ได้ผิดอะไรแต่ ไม่เหมาะกับความต้องการของคนใช้ครับ)

อีกเคสคือ ลูกค้าคนนี้เค้าใช้ความพยายามอย่างมากในวันแรกที่ได้เครื่องมา ในการจัดแจงโหลดเพลงใส่เข้าไปใน iPod ตัวใหม่ครับ ใส่ไปเป็นหลักพันเพลงครับ แต่จำไม่ได้ว่าเท่าไรครับ และแล้วปัญหาก็เกิดขึ้นครับ เค้าอยากได้เพลงจากเครื่องคอมปี้เต้อของเพื่อนครับ เลยทำการโหลดเพลงโดยใช้วิธีเดียวกับที่บ้าน ทำจากนั้นหลังจากที่ทำการโหลดเสร็จเค้าก็ตกใจเลยครับ เพลงที่สู้อุตสาห์โหลดมาจากที่บ้านเป็นชั่วโมงหายไปหมดเกลี่ยงเหลือไว้แต่เพลงที่โหลดเข้าไปใหม่ พอเจอผมที่ขาย iPod เหมือนกันถึงกับบ่นอุบเลยครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมเป็นอย่างนี้ ใช้ก็ยากแพงก็แพง ผมต้องรอให้พี่เค้าอารมณ์เย็นลงก่อน จึงค่อยอธิบายว่ามันเกิดจากอะไรแล้วหากต้องการจะให้เป็นดังที่พี่หวังต้องทำอย่างไร ใช้เวลาเป็นครึ่งชั่วโมงเลยครับ ผมยืนฟังพี่เค้าซะเกือบ 20 นาที แต่พอถึงตามผมแนะนำใช้เวลานิดเดียวเองครับ น่าจะไม่เกิด 5 นาทีครับ และแล้วทุกอย่างก็ลงตัวครับ

จากสองเคสทำให้เราเห็นว่าปัญหานั้นมาจากที่เดียวกันคือการไม่เช้าใจการ Sync ที่เหมาะสมทำให้เสียเวลาและความรู้สึกครับต่อไปผมขออธิบายนะครับว่าการ Sync เพลงหรือหนังลง iPod ที่เหมาะสมต้องทำอย่างไรครับ

การ Sync นั้นสามารถจำแนกได้สองแบบครับ คือแบบ Auto Sync และแบบ Manual ครับ

แบบแรกนั้นเหมาะกับคนที่ใช้คอมปี้เต้อเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียว เช่นมีเครื่องหลักที่บ้านไว้เก็บ file ต่าง ๆ เวลาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้านไม่ได้เอา Laptop ไปด้วย หรือไม่ได้เอา iPod ไป Sync กับเครื่องอื่น การทำ Auto Sync นั้นจะเหมาะมากครับเพราะเร็วและง่ายกว่ามากครับ แต่จะไม่เหมาะอย่างมากกับคนที่ต้องการไปเอาเพลงจากเครื่องอื่น ๆ มาลง หากใช้วิธีนี้เพลงเก่า ๆ ที่เราลงไว้ในเครื่องจะหายไปหมดและแทนที่ด้วยเพลงใหม่ที่เพิ่งลงไป โดยการทำงานของตัวโปรแกรท จะทำการลบ File เก่า ๆ ก่อน จากนั้นก็ทำการถึงทำการลง File ตัวใหม่เข้าไป นั้นเลยเป็นสาเหตุว่าทำไม file เพลงหรือหนัง ที่เราลงไปก่อนถึงหายไปหมด เหลือแต่ของใหม่

วิธีการทำมีดังนี้ครับ

ขั้นแรกเราต่องต่อ iPod เข้ากับคอมปี้เต้อ ของเราก่อนครับ

พอ iTunes เค้าหา iPod เจอแล้ว เราก็ไปคลิกที่ icon ของตัว iPod ครับ


จากนั้นทางจอด้านขวามมือเราจะเห็นรายละเอียดของตัว iPod ของเราแบ่งเป็น Tab ต่าง ๆ


หากเราจะลงเพลงก็ไปคลิกที่ Tab Music ไปติ๊กเครื่องหมายถูกเลือก Sync Music ซึ่งตรงนี้ จะมีอยู่สองส่งนให้ติ๊ก อีก คืออันแรก All songs and playlists คือการ Sync ทั้งหมดที่มีอยู่ใน Playlists ของเรา และอีกแบบคือ Selected playlists: อันนี้จะเป็นการติ๊ก เลือกว่าจะเอา playlists ว่าเราจะเอาอันใหน หากเอาก็ติ๊ก อันใหนไม่เอาก็ไม่ต้อง จากนั้น ๆ เมื่อเรียบร้อยก็ไปคลิก Apply ด้ายมุมขวาล่าง เป็นอันเรียบร้อยครับรอแค่ให้เค้ส Sync เสร็จก็เรียบร้อยครับ

ต่อมาเป็นแบบที่สองครับ แบบนี้จะเหมาะกับทุกคนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการโอนเพลงมาก ๆ สามารถลงเพลงจากเครื่องอื่นได้อย่างสะดวก ดดยที่เพลงที่ลงไว้เดิมไม่โดยลบออกไปครับ

ขั้นแรกครับ

ขั้นแรกเราต่องต่อ iPod เข้ากับคอมปี้เต้อ ของเราก่อนครับ

พอ iTunes เค้าหา iPod เจอแล้ว เราก็ไปคลิกที่ icon ของตัว iPod ครับ

จากนั้นทางจอด้านขวามมือเราจะเห็นรายละเอียดของตัว iPod ของเราแบ่งเป็น Tab ต่าง ๆ

ให้เราไปที Tab Summary ครับ


จากนั้นให้ดูที่ Options จะมีช่องให้เราติ๊กเลือกครับ ให้เราติี๊กอันที่ 3 ที่เขียนว่า Manually manage music ( Manually manage music and movie สำหรับ iPod video) จากนั้นเค้าจะขึ้น Dialog Box มาให้เรายืนยัน OK เป็นอันเรียบร้อยครับ

คลาวนี้เวลาเราจะลงเพลง (จริง ๆ ผมเรียกการโยนเพลงครับ) เราไปดูที่ Sidebar ด้านซ้ายเลือกเอาเลยครับว่าจะเอาอันใหน Playlists ใหนจากนั้นคลิกค้างยกเอา Playlists นั้น ๆ ไปวางที่ตัว icon iPod ของเรา แล้วปล่อย เท่านั้นครับ เพลงก็จะไปอยู่ตัว iPod ของเราเรียบร้อย

แต่ต้องจำไว้ให้แม่นนะครับ เราต้องดูให้แน่ใจว่าไม่ลืมติ๊ก Manually manage music และต้องไม่เข้าไปทำการลงเพลงใน Tab Music เพราะเค้าจะลบของเก่าออกก่อนแล้วค่อยลงของใหม่ครับ

อีกอย่างครับ มีบาท่านที่เราเค้าไ่ม่ได้สอนไปทำการโยน File จากที่ my computer อันนี้จะเปิดไม่ได้ครับ เราต้องทำผ่าน iTunes ครับ ถึงจะฟังได้ แต่ถ้าโยนธรรมดาจาก my computer เค้าจะทำงานเหมือน External Hard Disk ธรรมดาครับ

หากมีปัญหาก็ส่ง E-mail มาถามได้นะครีับ