Saturday, July 28, 2007

เขาว่าผม แยกเสียงเป็น


สวัสดีครับ กลับมาอีกแล้ว สังสัยเดือนนี้จะมีบทความได้ตามเป้าแฮะ เพราะเดือนนี้วัตถุดิบเยอะเลย มีอีกหลายเรื่องที่ต้องเขียนอีกเพียบเลย เพราะมีพี่ ๆ น้อง ๆ ช่วยกันถามเข้ามาเยอะครับ ทั้งจาก MSN ทางหน้าร้าน และคำถามเมื่อชาติที่แล้วที่นึกขึ้นได้ก็มีครับ ผมก็จะพยามจะเขียนออกมาให้พี่ ๆ น้อง ๆ ได้อ่านกันอย่างต่อเนื่องครับ

ครับ บทความนี้ผมจั่วหัวไว้ว่า "เขาว่าผม แยกเสียงเป็น" บทความนี้ต้องขอบคุณ note_za ครับ ที่คนจุดประกายให้ผมเขียนเรื่องนี้ครับ เพราะจำได้ว่าเราคุยกันเรื่องของหูฟังมั้งครับ แล้วเราก็พูดเรื่องเสียงของหูฟังที่ต่างกันออกไป มีบุคลิกของแต่ละตัว ไม่เหมือนกัน คุณ note_za ก็ถามผมว่า แยกเสียงต้องทำอย่างไร ซึ่งที่เล่ามาก็เป็นสาเหตุที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาครับ

เรื่องการแยกเสียงนั้น จริง ๆ ไม่ยากครับ ง่ายมาก ๆ แค่หูไม่หนวกก็สามารถฟังแบบแยกแยะเสียงได้แล้วครับ เพียงแต่เราต้องมีพื้นฐานความรู้นิดหน่อยครับ ส่วนเรื่องทักษะนั้น จะเก่งมาก เก่งน้อย หรือเป็นพวกหูทอง หูเทพ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การฟัง และการฝึกทักษาครัับ ซึ่งแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน


อย่างแรกเราต้องมาทำความเข้าใจธรรมชาติการได้ยินของหูของเราและการกำเนิดของเสียงกันก่อนครับ (อันนี้ออกแนววิทยาศาสตร์ จริง ๆ ผมไม่ค่อยอยากพูดเรื่องในแนวนี้มากนัก เพราะหน้าไม่ให้ ออกดูโง่ ๆ ด้วยซ้ำไป แต่มันจำเป็นต่อการทำความเข้าใจครับ) ขอเริ่มจากการกำเนิดเสียงเรื่อยไปจนเสียงเข้าไปในหูของเราและเกิดการรับรู้เลยนะครับ


เสียงนั้น เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุจนทำให้เกิดคลื่นขึ้น ซึ่งคลื่นแต่ละคลื่นนั้นมีความถี่ต่าง ๆ กันไป และมีบุคลิกเสียงต่าง ๆ กันตามแต่วัตถุที่กระทบกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเอาไม้กลองไปตีที่กลอง เจ้ากลองตัวนั้นก็จะเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดคลื่นเสียงขึ้น ซึ่งจะเป็นเสียงอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับความแรงของการตี ซึ่งจะทำให้เกิดความถี่ที่ต่าง ๆ กันออกไป แต่บุคลิกเสียงนั้นก็ยังเป็นเสียงไม้ตีที่กระทบโดนหนังของกลองอยู่ ดังที่เราจะเห็นได้จากการที่เราเคยตีกลอง หากตีเบา เสียงก็แบบหนึ่ง ตีแรงเสียงก็อีกแบบหนึ่ง แต่ยังเป็นเสียงกลองตัวเดิมอยู่

จากนั้นคลื่นเสียงที่เกิดขึ้นจากแหลงกำเนิด ก็แพร่กระจายออกไป (แต่ในที่นี้จะไม่ขอพูดถึงรูปแบบการกระจายว่ามีกี่ประเภท อย่างไร) จนถึงหูเรา ซึ่งหากเราอยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดเสียงมาก เสียงที่มาถึงเราก็จะเบาลงเรื่อย ๆ ตามระยะทาง ยกตัวอย่างเช่น หากเรายืนไกล้กลองตัวเดิม เสียงก็จะดัง แต่หากอยู่ไกลออกมาก็จะเบาลงเรื่อย ๆ จนไม่ได้ยินในที่สุด


และเมื่อเสียงนั้นเดินทางมาถึงหูของเรา มันก็จะผ่านมาในอวัยวะรับเสียงของเรา แล้วอวัยวะเหล่านั้นก็จะทำการแปลงคลื่นเสียงไปเป็นสัญญาณในรูปของสัญญาณที่สมองจะรับได้ แล้วสมองของเราก็จะนำสัญญาณที่ได้นั้นไปเที่ยบกับความทรงจำเดิมของเราเพี่อเทียบเคียงและตีความหมายในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากเสียงกลองนั้นเดินทางมาเรื่อย ๆ นั่น มันก็เป็นแค่คลื่นเสียง แต่เมื่อเรารับเอาคลื่นนั้นเข้าไป แล้วไปเทียบกับความทรงจำก็จะได้คำตอบว่าเป็นเสียงกลอง ซึ่งในความจำเราก็จะแบ่งออกเป็นว่าเสียงกลองนี้นั้นเป็นกลองชนิดใหน และยังสามารถระบุตำแหน่งได้อีกด้วยว่าดังมาจากทิศทางใหนและในระดับความสูงใด (จะไม่ขอพูดเรื่องการระบุตำแหน่งว่าทำได้อย่างไรในบทความนี้) และมีปฏิกริยาตอบสนองต่อเสียงได้ที่ได้ยิน (จะไม่กล่าวถึงเช่นกัน หากอยากรู้ถามต่อหลังไมค์ได้ครับ ยินดีแชร์กันครับ)

เมื่อเราได้รู้ว่า Process แล้วว่าการได้ยินของเรานั้น มีขั้นตอนอย่างไร ต่อไปเราก็มาทำความเข้าใจถึงย่านความถี่ที่มนุษย์ได้ยินกันครับ


ย่านความถี่ที่มนุษย์ได้ยินนั้นก็ตั้งแต่ 20-20KHz ครับ (แต่อันนี้นั้นป็นแบบที่นิยมเรียกให้จำง่าย ๆ ครับ แต่จริง ๆ แล้วเป็น 16-18KHz ครับ) ซึ่งเราก็จะแยกความถี่เสียงออกเป็นย่านต่าง ๆ ดังนี้

เริ่มจากย่านความถี่ต่ำ ก็ไล่ตั้งแต่ 20Hz ไปจนถึง 250Hz ซึ่งย่านนี้เรานิยมเรียกกันว่าเสียง Bass ครับซึ่งเครื่องดนตรีที่ทำงานได้ดีในย่านความถี่นี้ เราก็มักจะเรียกว่า Bass เช่นกัน เช่น Guitars Bass, Double Bass, Drums Bass เป็นต้น เสียงที่เราได้ยินก็จะทุ้ม ๆ หรือเสียงที่ได้ยินใน ธรรมชาติก็เช่น เสียงปืนใหญ่ เสียงฟ้าร้อง เสียงระเบิด หรือเสียงก้นกางเกงเวลาโดนอาจารย์ตีตอนเด็ก ๆ ดังบุุก ๆ อะไรอย่างนั้น

ต่อมาเป็นย่านความถี่กลาง ก็ไล่ตั้งแต่ 251Hz ไปจนถึง 1,000Hz ย่านนี้เรานิยมเรียกว่า Mid หรือ เสียงกลาง ก็จำพวกเสียงร้องเพลงเป็นต้น

และสุดท้ายครับ เป็นย่านความถี่สูง ก็ไล่ตั้งแต่ 1,001Hz ไปเรื่อย ๆ ครับ ย่านนี้นิยมเรียกว่า Treble ครับ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่สูง เสียงจะออกไปทางแหลม ๆ ครับ เครื่องดนตรี ไม่ต้องบอกก็คงนึกออกเพราะเยอะครับ Guitar, Violin เป็นต้น ครับ

คงพอจะเข้าในเรื่องของย่านความถี่และการแยกย่านความถี่ของเสียงกันแล้วนะครับ ซึ่งเมื่อเราแยกได้แล้วนั้น เราก็จะจับความแตกต่างของของความสามารถในการตอบสนองความพี่ของเครื่องเสียง ลำโพงหรือหูฟังแต่ละคู่ได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ (แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ด้วยครับ ยิ่งฟังมากก็จะยิ่งชำนาญ)

คราวนี้เรามาพูดถึงเครื่องเสียงกันบ้างครับ ซึ่งหากเราจับ Concept นี้ได้แล้วนั้น ก็เป็นเรื่อง่ายแล้วล่ะครับ ที่เราจะเลือกอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ได้ถูกใจ ไม่ว่าจะเป็น Amp ลำโพง หรือแม้แต่หูฟังก็ตามครับ


เครื่องเสียงทุกประเภท (ทุกประเภทจริง ๆ ครับ) ในอุดมคตินั้น เครื่องเสียงที่ดีต้องให้เสียงที่เหมือนจริงมากที่สุด สามารถตอบสนองความพี่ที่มนุษย์ได้ยินให้ครบทุกย่าน อย่างเท่าเทียมกัน ไม่หนักไปย่านใดย่านหนึ่ง ให้เสมือนจริงอย่างกับว่าเราได้ฟังเสียงเหมือนกับมีวงดนตรีจริง ๆ เล่นอยู่ด้านหน้าของเรา เสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ ต้องเหมือนจริง ฟลุท ต้องเป็นฟลุท กลองต้องเป็นกลองจริง ๆ ซึ่งหากทำอย่างนั้นได้ก็นับว่าเป็นเครื่องเสียงที่ดี


"ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องเลือกลำโพง เครื่องเสียงหรือหูฟังให้มีเสียงที่เหมือนจริงอย่างนั้นสิ" ครับ นั่นคืออุดมคติครับ แต่เครื่องเสียงนั้นยิ่งคุณภาพดี ก็ยิ่งมีราคาสูงเป็นเงาตามตัวครับ ทำให้หลาย ๆ คนนั้น ไม่สามารถซื้อเครื่องเสียงที่ให้ความเหมือนจริงมาก ๆ ได้ (แต่ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องเสียงเครื่องใหนให้เสียงได้เหมือนจริงอย่างไม่มีที่ติดสักเครื่อง ทำได้ก็แค่ไกล้เคียง) ทำให้ต้องเลือกเครื่องเสียงที่มีราคาย่อมเยาลงมาซึ่ง เครื่องเสียงเหล่านั้นมักจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่ มีเสียงที่เน้นหนักไปทางย่านความถี่ย่านใดย่านหนึ่ง และประกอบกับ ความชอบของคนเรานั้นต่างกัน บางคนชอบเพลง Jazz ที่เสียงร้องของนักร้องต้องหวาน ๆ หรือบางคนชองเพลง Hip-Hop ซึ่งต้อง Bass เยอะ ๆ เป็นต้น ทำให้การเลือกเครื่องเสียงนั้น ต้องพิจารณามากขึ้นครับ เพราะแต่ละคนนั้นมีความต่างกัน

"แล้วเราจะเลือกอย่างไรล่ะให้ตรงกับ "ใจ" ของเรา" อันนี้ตอบได้ว่าไม่ยากครับ เริ่มแรกเราก็ต้องดูความต้องการและบุคลิกความชอบของเราก่อนล่ะครับ ว่าเป็นเยี่ยงไร เพราะลำโพง หูฟัง หรือ amp แต่ละตัวนั้นเสียงไม่เหมือนกัน ซึ่งในการเลือกนั้นผมก็จะมีแนวในการเลือกดังนี้ครับ เราต้องเลือกว่าจะเอาไปดูหนังหรือฟังเพลงครับ เพราะการดูหนังและฟังเพลงจะค่อนข้างจะมีข้อแตกต่างกันอย่างชัดเจน


ซึ่งหนังนั้นเราต้องเน้นให้เสียงนั้นชัด สด เหมือนจริง รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องชัดครับ เวลาดูหนังเราจะได้ยินแม้แต่เสียงของหญ้าไหว ใบไม่พัด หรือแม้แต่แมลงครับ หากทำได้อย่างนี้คงไม่ต้องพูดถึงเสียงพูดหรือรายละเอียดต่าง ๆ นะครับ มันจะชัดมาเองครับ เสียงระเบิดต่าง ๆ ต้องกระหึ่มสะใจครับ สรุปคือเราเน้นเหมือนจริง เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ เอาให้ดูหนังแล้วมันส์เข้าว่าครับ (หูฟังหรือเครื่องเสียงที่เราเอาไปใช้เล่น Games ก็ใช้หลักการเดียวกันครับ)


แต่หากเราจะเอาไปฟังเพลง คราวนี้รายละเอียดเยอะครับ เพราะเพลงมีตั้งหลายประเภท (แต่หนังเราเอาให้ดูหนัง Action แล้วมันส์ก็ใช้ได้แล้วครับ) แต่แนวทางในการดูนั้นไม่ยากครับ เราก็ดูว่าเพลงในแบบที่เราฟังนั้น เน้นไปทางเสียงใหน เครื่องดนตรีหลัก ๆ ที่ใช้เป็นอะไร เราก็เลือกลำโพงหรือหูฟังครับ ให้ไปในทางเดียวกันเท่านั้นเอง ไม่ยากครับแต่เหนื่อย ต้องขยันเดินฟังหน่อยครับ อย่างเช่นเพลงที่เราฟังเป็นจำพวก Hip-Hop เราก็เน้นให้ Bass เยอะนิดหนึ่ง หรือเราฟังจำพวก Jazz ที่เป็นกลุ่มเพลงร้อง นักร้องเสียงหวาน ๆ เราก็เน้นให้เสียงของหูฟังหรือเครื่อเสียงของเราหวาน ๆ หน่อย เพราะจะเข้ากับ Style ในการฟังของเรา หรือหากบางคนชอบ Acoustic เราก็เน้นที่เสียงสะอาด ๆ แสดงรายละเอียดที่เราต้องการจะได้ยินชัด ๆ


ซึ่งดังที่กล่าวมานี้นั้น หลายคนก็ยังนึกวิธีที่ง่าย ๆ ไม่ออก ผมแนะนำครับ ให้เราหาเพลงไม่ว่าจะเป็น CD หรือเพลงที่อยู่ใน iPod ก็ตาม ที่เราฟังบ่อย ๆ หรือเพลงที่คิดว่าเพลงนี้ล่ะเพลงโปรดเรา เราชอบที่สุด แต่ที่สำคัญครับ เพลงนั้น ๆ ต้องแสดงเอกลักษณ์ของ Style เพลงที่เราฟังได้อย่างครบถ้วน จึงจะใช้ได้ครับ ให้เรานำติดตัวไปด้วย เอาไปลองฟังหูฟัง หรือลำโพงที่เราต้องการจะเลือกครับ ให้ลองในสภาพที่ไกล้เคียงกับที่เราใช้งานที่สุดครับ จะได้ทราบว่าเจ้าหูฟังหรือ ลำโพงที่เราลองนั้นตรงกับใจเราหรือเปล่า ชอบมากน้อยแค่ใหน คุ้มมั๊ยที่จะเสียเงินซื้อมาใช้งาน

อันนี้เป็นวิธีง่าย ๆ ครับ แต่ได้ผลมากเลย เพราะไม่มีอะไรดีกว่า การได้ไปลองของจริง ในสภาพที่เราต้องการใช้งาาน หรือฟังเพลงที่เราชอบฟังจริง ๆ ครับ ผมไม่แนะนำให้เชื่อคำบอกเล่าของใครมากนักนะครับ จริงอยู่ที่คำบอกเล่าช่วยเราได้ในเรื่องของการตัดสินใจ แต่ต่างคนก็ต่างความรู้สึก เค้าชอบเราอาจจะไม่ชอบก็ได้ หรือของแย่ของเค้า เราอาจจะชอบมากก็ได้ใครจะรู้ เพราะฉะนั้น ต้องลองครับ ต้องลอง

คราวต่อไปผมจะพูดถึงเรื่องการลองหูฟังและการเลือกใช้งานครับ แต่จะไม่พูดถึงการฟังแล้วครับ เพราะคิดว่าหากคนที่อ่านบทความนี้ไปคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายแล้วครับ แต่จะพูดถึงวิธีการเตียมตัว และความเหมาะสมของการใช้งานมากกว่าครับ และที่สำคัญขอให้ขติข้อคิดไว้ครับ

"หูเรา หูฟังเรา(ลำโพง) และเงินเรา เราเลือกเอง"

วันนี้คงลากันไปเท่านี้ก่อนครับ สวัสดีครับ

PIKMY

Saturday, July 21, 2007

จอแตก ใจสลาย กับ iPod ของฉัน


สวัสดีครับ วันนี้มากับหัวข้อที่ไม่ค่อยดีเลยครับ แต่อยากจะบอกต่อ ๆ กันครับเพื่อจะได้ระวังกันครับ สำหรับทุกสิ่งที่เรารักต้องเก็บให้ดีครับ แต่ในคราวนี้เป็น iPod ครับ สำหรับบทความนี้ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับ น้องหนึ่ง เจ้าของ iPod 30GB White หมาด ๆ ที่เพิ่งส่งซ่อมไปครับ เนื่องจากจอแตกครับ และขอขอบคุณสำหรับความใจดีของน้องเค้าครับ ที่ยินดีที่จะให้ผมนำเรื่องราวของน้องเค้ามาเขียนเป็นบทความเพื่อเป็นเรื่องเตือนใจสำหรับพวกเราครับ

วันก่อน ขณะที่ผมทำงานอยู่ (PIKMY) ก็มีเบอร์แปลก ๆ โทรเข้ามาหา ผมก็รีบยกขึ้นมารับโดยเร็ว เพราะคิดได้ทันทีครับว่าต้องเป็นลูกค้าของเราแน่นอนเลย เพราะหากเป็นเพื่อน หรือพี่ ๆ ที่บริษัทจะมีชื่ออยู่ใน Contact List ของผมครับ

เสียงน้องหนึ่งดูร้อนใจมาก แล้วน้องหนึ่งก็รีบแนะนำตัวว่าเป็นน้องที่ซื้อ iPod ไปเมื่อวันก่อนโน้น และก็ตามด้วยคำถามว่า "พี่ครับ iPod ของผมเป็นอะไรไม่รู้ครับ อยู่ ๆ หยิบออกมาเปิดก็พบว่าจอมันดับ ไม่มีอะไรขึ้นมาเลย ทำอย่างไรดี" ผมเมื่อได้ยินดังนั้นก็สอบถามอาการไป เพื่อจะวินิจฉัยเบื่องต้นว่าเป็นอะไร เพื่อหาหนทางแก้ไขต่อไป เราคุยกันอยู่แป๊ปหนึ่งก็พอจะสรุปได้ว่า อาการดังกล่าวน่าจะเป็นจากที่ Hardware มากกว่าครับ ไม่ได้มาจาก Software ซึ่งตัวผมภาวนาให้เป็นที่ Software ครับ เพราะหากเป็น Software ก็ง่ายครับ ไม่น่าจะเป็นอะไรมากครับ และไม่น่าจะเสียตังอะไร (นับเป็นข้อดีของ iPod ครับ เพราะหาก Hardware ไม่เป็นไร ยังไงเราก็สามารถปลุกชีพเค้าขึ้นมาได้แน่นอน)

เมื่อทราบว่าเป็นที่ Hardware แล้วผมก็ถามต่อไปว่า "ไปทำอะไรมา" น้องหนึ่งก็เล่าเสริมว่า เพื่อน ๆ เอาไปเล่น แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะ iPod มันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แต่แล้วน้องหนึ่งก็เล่าถึงว่าสงสัยโดนกระเป๋าเพื่อน ๆ ทับ เลยถามไปว่า "เก็บไว้ตรงใหนเหรอ" ก็ได้คำตอบมาว่าเก็บไว้ในด้านในกระเป๋าลึก ๆ นั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุให้ iPod ของเราจอแตกได้ครับ เมื่อคุยกันสักพักเราก็สรุปกัันว่าคงต้องไปซ่อมที่ศูยน์ดีีกว่า เพราะอาการอย่างนี้เป็น Human Error ไม่อยู่ในประกันครับ หากเป็นแบบนี้คงต้องเสียเงินซ่อมเองอย่างแน่นอน




ที่เอามาเล่าสู่กันฟังวันนี้เพื่อเอาไว้เป็นอุทาเห่า (หรณ์) สำหรับทุกคนครับ หากจะหาถึงสาเหตุว่าทำไมจอ iPod มันถึงแตกง่ายอย่างนี้ ก็คงต้องอธิบายครับ ตรงบริเวณหน้าจอของ iPod หรืออุปกรณ์ทุกอย่างที่มีจอภาพขนาดใหญ่ เช่น PDA หรือแม้แต่เครื่องคิดเลขก็ตาม บริเวณนี้เป็นจุดที่อ่อนไหวมากที่สุดครับ เราต้องระวังเพราะ เค้ามักไม่ค่อยมีอะไรป้องกันในบริเวณหน้าจอครับ (เพราะหากมีอะไรกัน เราจะดูภาพไม่ค่อยชัด) หากกระแทกโดนโดยตรงแรง ๆ ก็เสี่ยงมากครับ ที่จอจะแตกได้ง่าย

"แล้วทีนี้เราจะป้องกันได้อย่างไรล่ะ ? " คงเป็นคำถามที่หลาย ๆ คนต้องการคำตอบเป็นแน่


เริ่มแรก เรามาเริ่มจากสถานที่ในการเก็บก่อนเลยครับ เวลาเราเก็บ iPod หรืออุปกรณ์อย่างอื่นนั้น เราไม่ควรเก็บไว้ด้านในหรือด้านล่างสุดของกระเป๋า เพราะจะเป็นจุุดที่มีการกดทับค่อนข้างมาก ทำให้เสี่ยงกับจอแตก


"แล้วหากเก็บไว้ด้านหน้าของกระเป๋าล่ะ ?" หลาย ๆ คนรวมถึงน้องหนึ่งก็เช่นกัน คงกลัวของหายเป็นแน่ครับ จึงได้ไปเก็บไว้ในช่องลึก ๆ ของกระเป๋า แต่ก็ต้องเสี่ยงที่จอแตกเช่นกันครับ แล้วหากเราเก็บไว้ในช่องหน้าแล้วจะทำอย่างไรให้ของไม่หายง่าย ๆ ตรงนี้ผมเคยเห็นพวกนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและต่างชาติ สำหรับคนที่เที่ยวบ่อย ๆ เค้ามักจะเลือกระเป๋าที่สามารถ Lock ซิปของกระเป๋าได้ครับ แล้วเค้าก็เอาแม่กุญแจมา Lock ตรงซิป ของกระเป๋า ซึ่งเราอาจจะเลือกแบบที่ใช้กุญแจก็ได้ หรือเลือกแบบที่เป็นรหัสก็ได้ การป้องกันอย่างนี้ทำให้เราลดอัตราเสี่ยงในการที่ของจะหาย รวมถึง iPod ได้ในระดับหนึ่ง

ขั้นต่อมา "หากเราไม่สามารถเก็บไว้ในด้านหน้าของกระเป๋าได้ แต่ต้องเก็บไว้ด้านในล่ะ จะทำอย่างไร ?" อันนี้ผมก็มีหนทางป้องกันมาเสนอแนะครับ เราก็ต้องหาเกราะป้องกันมาให้ iPod ของเราครับ จำพวก Case แข็ง ๆ ครับ อันนี้เราจะใส่แบบถาวรก็ได้ หรือจะใส่ ๆ ถอด ๆ เหมือนผมก็ได้ แต่ประเด็นในการเลือกนั้น


ข้อแรก ต้องมีพลาสติกใสไว้กันบริเวณหน้าจอครับ ต้องเป็นชิ้นเดียวกันยาวตลอดทั่วทั้งด้านหน้าขอตัว เพราะจะสามารถช่วยกระจายน้ำหนักได้ดีครับ เวลากระแทกก็จะปลอดภัยขึ้นมานิดหนึ่งครับ


ข้อสองครับ ต้องเป็นวัสดุที่แข็ง คงรูปได้ค่อนข้างดี นำพวกพลากติกใสหนา ๆ เพราะหากเป็นจำพวก silicone แล้วมี Film บาง ๆ ปิดกันรอยมันไม่ช่วยอะไรเลยครับ หากกระแทกก็แตกอีก


ข้อที่สาม ต้องเป็น Case ที่เวลาใส่แล้วสามารถ ถอดเข้าออกได้ง่าย โดยตัวเครื่องต้องไม่เสี่ยงเป็นรอย อันนี้ผมเคยไปลอง Case รุ่นหนึ่งมา ปรากฏว่าถอดเกือบไม่ออก เกือบต้องซื้อของแย่ๆ มาแล้วครับ ผมแนะนำครับ อย่าไปใช้รุ่นจำพวกที่เวลาใส่แล้ว Lock แบบเอาตัว Case มาขัดกันเองครับ เพราะเวลาถอดออกเราต้องใช้อุปกรณ์ที่เค้าให้มางัด หรือไม่ก็เหรียญบาท ซึ่งหากถอดไม่ออกก็แย่ หรือหากถอดออกแบบทุลักทุเล Case ก็เป็นรอย หมดคุณค่าไปอีก อันนี้หากเป็นไปได้ให้เลือก Case ที่ถอดออกได้ง่าย ๆ อันนี้ต้องสังเกตุวิธีการ Lock ครับ หากแปลกมาก ๆ ก็ต้องลองดูครับ (อันนี้ผมเจอมากะตัว เป็นยี่ห้อใหม่ ผมจำไม่ได้ว่ายี่ห้ออะไร แต่จำได้แม่นว่ามันเป็น Case ที่ขัดกันเอง ต้องเอา Card ที่เค้าให้มางัด แลัวผมงัดไม่ออก ต้องให้พี่ ๆ ที่ร้านช่วยกันงัดเลยโดนด่าไปตามระเบียบ แต่ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่เอามาขาย เพราะของมันไม่ค่อยดี เอามาก็โดนด่า แล้วหากลองแล้วเราถอดไม่ออกเองก็หน้าแหกอีก)

ข้อที่สี่ ต้องเป็น Case ที่เวลาเราใส่ iPod เข้าไปแล้ว เราสามารถต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ ได้ง่ายจำพวกสาย USB หรือหูฟัง หรือแม้แต่การเปิด/ปิดปุ่ม Hold ครับ ต้องสามารถใช้งานได้อย่างดี ไม่ต้องแงะออกมาหรืออย่างน้อยก็ต้องถอดออกง่าย ๆ ข้อนี้ผมได้เจอ Case ยี่ห้อ CAPDASE ครับ มันเป็น พลาสติกครับ มีสายห้อย แต่ตัวหมุดเปิดออกมันอยู่ด้านล่าง ทำให้เวลาเสียบสาย USB เข้าไปถอด (โค ตระ) ยากเลยครับ มีครั้งหนึ่งตอนได้มาแรก ๆ ผมลองใส่ สาย USB เข้าไป ปรากฏว่าถอดออกยากมาก ทำให้เวลาใช้ผมใช้ก็แค่เวลาต้องการเอา iPod ใส่เข้าไปในกระเป๋าครับ ป้องกันจอแตกครับ หากจะใช้ในการใช้งานจริง ๆ คงไม่เอา (ได้มาฟรีครับ)

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีป้องกันเบื่องต้นครับ แต่ท้ายที่สุดก็คือตัวเราครับ ต้องช่วยระวังด้วยครับเพราะหากเราป้องกันอย่างไร แต่หากเผลอ iPod แสนรักของเราก็อาจจะจากไปก่อนวัยอันควรก็ได้ครับ หรือหากใครมีวิธีดี ๆ ก็แนะนำกันเข้ามาได้นะครับ เราจะได้เอามา Share กันใน Community ของเราครับ

PIKMY

Tuesday, July 03, 2007

Podcast มาแว้ว......!!!


กลับมาแล้วตามคำเรียกร้องปนกับเสียบบ่นจากพี่ ๆ น้อย ๆ ชาว iLoveiPod ว่าทำไมไม่เขียนบทความเกี่ยวกับ Podcast ให้อ่านสักที ต้องขอเรียนตรง ๆ ว่าตัวผมเคยเขียนไปแล้วเป็นบทความแรก ๆ เลยครับ ประมาณ 4 เดือนก่อนเห็นจะได้ครับ แต่นั่นมันก็ก่อนที่ผมจะมีโครงการเกี่ยวกับ Podcast ครับ (อันนี้ขออุบไว้ก่อนครับ) ซึ่งเนื้อหาอาจจะไม่เข้มข้นมากนัก แต่คราวนี้รับรองจะเขียนให้ถึงขนาด (จำมาจากหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรครับ เพิ่งเช่ามาดูเมื่อคืน สนุกดีดูแล้วรักชาติเหลือประมาณ)

งั้นมาเร่ิมแรกด้วยความหมายก่อนเลยครับ Podcast นั้นหากจะแปลกันตรง ๆ แล้วก็มาจากคำว่า Personal On Demand Board-casting ซึ่งหากแปลเป็นไทยก็จะได้ใจความว่า เป็นสื่อที่ออกอากาศที่เราสามารถเลือกได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคลครับ หาได้มาจากคำว่า iPod+Board-casting ไม่ (อันนี้ผมเห็นเขียนลงหนังสือเลยนะครับ)

แต่ใน Dictionary ฉบับ New Oxford American จะค้นพบว่า Podcasting เป็นศัพท์ใหม่ และจะแปลว่า การบันทึกเสียงหรือภาพระบบดิจิตอลสำหรับการกระจายเสียงหรือถ่ายทอด โดยมีให้ Download ได้จาาก internet สูเครื่อง Media Player Portable ส่วนบุคคล (เค้าเอาวิธีทำมาเป็นคำแปลเลยครับ)

เพราะฉะนั้นหากสรุปก็จะได้คำแปลว่า เป็นสื่อในรูปแบบ Digital ที่ออกอากาศผ่านเครือข่าย internet ซึ่งเราสามารถที่จะเลือกและ Download มาในเครื่อง Media Player Portable ส่วนตัว ได้ตามความต้องการส่วนตัวของแต่ละคน

ซึ่งหากเราทราบความหมายแล้วเราก็จะมาสู่คำถามที่ว่าแล้ว Podcast ทำอะไรให้เราได้บ้างล่ะ อันนี้ผมขออนุญาติยกตัวอย่างสมมุตินะครับ จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ

ตัวผมนั้นชอบรายการสาระแนจังดึก แต่ผมเลิกงานประมาณ 1 ทุ่ม กว่าจะออกมา Shop มาได้ก็ประมาณ 1 ทุ่มครึ่งได้ ซึ่งแปลว่าผมจะกลับถึงบ้างที่บางบอนได้ก็ประมาณ 4 ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว เมื่อถึงบ้านผมก็ต้องรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยเพราะดึกแล้ว การที่ผมจะมามัวนั่งดู TV ตอนดึก ๆ ก็คงไม่สมควรมากนักเพราะ วันรุ่งขึ้นผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำงานอีก เลยทำให้ต้องอดดูไปเลย


แต่หากเป็น Podcast นั้น ผมจะสามารถที่จะใช้โปรแกรม Podcast Receiver ต่าง ๆ ซึ่งในกรนีนี้นั้นเราใช้ iTunes ซึ่งจะง่ายและสะดวกหากเราใช้ iPod เป็นเครื่องเล่นพกพา ทำการ Subscribe รายการ "สาระแนจังดึก" มาซะ และเมื่อรายการนี้ออกอากาศไปแล้วนั้น ตัวโปรแกรมก็จะทำการ Download มาให้้เราอัตโนมัติ แปลว่าเราไม่ต้องไปรอดูแล้ว แต่เมื่อเวลาว่าง ๆ อย่างตอนนั้นรถไปทำงาน ผมสามารถที่จะะเอารายการ "สาระแนจังดึก" ขึ้นมาดูบนรถได้ ทำให้เกิดความสะดวกอย่างมาก เพราะเราไม่ต้องรอดูในเวลาที่ออกอากาศที่เราอาจจะไม่ว่าง แต่เราสามารถเอารายการไปดูในเวลาใหนหรือที่ใดก็ได้ที่เราสะดวก ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่อีกแล้ว และรายการนั้นเราสามารถที่จะเลือกรายการได้ตามความพอใจ ไม่จำเป็นจะต้องทนดูรายการอื่น ๆ ที่เราไม่ชอบในขณะที่เรารอดูรายการที่เราต้องการอยู่ ทำให้เราสามารถเลือกรับสื่อได้อย่างแท้จริง

ต่อมาเป็นคำถามที่ว่า แล้วรายการที่มีออกอากาศล่ะ มีอะไรบ้าง อันนี้ต่อขอออกตัวก่อนนะครับว่า ในเมืองไทยตอนนี้นั้นยังไม่มีรายการที่ออกอากาศในรูปแบบ Podcast มากนัก แต่เมืองนอกนั้น อย่างที่อเมริกาหรือหลาย ๆ ประเทศนั้นเค้ามีรายการที่ออกอากาศในรูปของ podcast เยอะมาก (ที่รู้ไม่ได้เพราะเคยไปมานะครับ แต่ลูกค้า และน้อง ๆ ที่ Shop true เค้าอยู่เมืองนอก และกลับมาเที่ยวบ้าน เลยมาทำงานที่ true เค้าเล่าให้ฟังครับว่าเมืองนอกมีใช้กันมากมายเลยครับ)

ซึ่งประเภทของรายการนั้น มีอยู่หลากหลาย หรือเราสามารถสร้างให้มีความหลากหลายได้มากมายเลยครับ เพราะตัว Technology นั้น สามารถลดข้อจำกัดหลายประการของการออกอากาศในรูปแบบเก่าไปได้เยอะเลยครับ ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามสนใจหรือชำนาญในเรื่องใหนก็สามารถที่จะ ผลิตรายการของตัวเองออกมาได้ แต่หากจะให้แบ่งเป็นประเภทก็ สามารถแบ่งได้คล่าว ๆ ดังนี้ครับ ศิลป์,ธุรกิจ,ตลก ,การศึกษา,Games,งานอดิเรก,การเมือง,สุขภาพ,เด็ก,ครอบครับ,ดนตรี,ข่าว,สังคม,ศาสนา,วิทยาศาสตร์,กีฬา,Technology,หนัง ซึ่งเราจะเห็นว่ามันเยอะแยะมากมายครับ เราสามารถเลือกให้เหมาะกับเราได้อย่างไม่มีที่สินสุดเลยครับ

แล้วจากนั้นก็เป็นคำถามสำคัญที่พี่ ๆ น้อง ๆ คงรอ และอาจแอบบ่น (พร่ามอะไรอยู่ได้ฟะ เข้าเรื่องซะทีสิ) ก็คือ แล้วเราต้องทำอย่างไรล่ะ เช่นเคยครับ ผมคงไม่ลงลึกนะครับ ว่าเวลาผลิตรายการเค้าทำกันอย่างไร (หากอยากรู้หลังไมค์ได้ครับ) แต่ผมจะอธิบายครับ เราทำได้อย่างไร

เร่ิมแรกครับ เพราะก็ต้องไปหาตัวรายการที่เราต้องการก่อนครับ ซึ่งการหานั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธีครับ

วิธีแรกเราหาจาก iTunes Store ครับ ซึ่งรายการนี้นั้นเป็นรายการที่เอาไปผูกไว้กับ iTunes Store ครับ ซึ่งรายการนั้นจะเป็นของประเทศใหนก็ขึ้นอยู่แล้วล่ะครับ ว่า iTunes ของเราไปผูกไว้กับ Store ของประเทศใหน อย่างของผมหรือส่วนมากมักจะไปผูกับ USA (ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าทำไม) เพราะฉะนั้นรายการทั้งหมดก็จะมาจากทางฝั่ง USA ครับ


โดยเริ่มจากการที่เราเปิด iTunes ขึ้นมาพร้อมกับต่อ internet ครับ (ไม่งั้นจะต่อออกไปข้างนอกไม่ได้ครับ) แล้วเราก็คลิกไปที่ iTunes Store ตรง Sidebar ครับ


จากนั้นก็ไปที่ Podcast ซึ่งอยู่ที่ มุมด้านซ้ายบนครับ ตรงส่วนของ iTunes Store


ราก็จะเข้ามาที่หน้าของ Podcast ครับซึ่งในหน้านี้ก็จะถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ตรงนี้เค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ ครับ แต่ส่วนหลัก ๆ ก็จะอยู่ด้านข้างทางซ้ายมือครับ



ก็จะมีส่วนของ CATEGORIES ครับ จะเป็นส่วนที่แบ่งประเภทไว้ให้ครับ เราสามารถค้นหารายการที่ต้องการได้โดยดูตามประเภทที่เค้าแบ่งไว้แล้วก็ได้ครับ สะดวกไปอีกแบบ และส่วนหนึ่งคือส่วนของ FEATURED PROVIDERS อันนี้จะเป็นสถานีของประเทศต่าง ๆ ที่เราไปผูกไว้ครับ ก็จะสะดวกครับ หากเรารู้ว่ารายการที่ต้องการอยู่สถานีใหนก็สามารถเลือกได้ครับโดยการคลิกไปที่รูปของรายการนั้น ๆ

ต่อมาเมื่อเลือกแล้วทำอย่างไร...?


เราก็จะเข้ามาอยู่ในหน้าของรายการนั้น ๆ ครับ หน้าตาดังรูปข้างบน มาถึงหน้านี้เราสามารถ ดูได้ว่ารายการนั้น ๆ มีรายละเอียดเป็นอย่างไร เป็นรายการประเภทใหน ภาษาอะไรใครผลิตรายการขึ้นมา รวมถึง Link ที่จะนำไปสู่ website ของผู้ผลิตรายการ และส่วนที่จะให้เราแนะนำให้เพื่อน ๆ ของเรารู้จัก Podcast รายการนี้ด้วยครับ ต่อมาด้านล่างครับเป็นส่วนของ Episode เราสามารถเลือกเป็นราย Episode ได้ครับ หากไม่ต้องการที่จะเป็น สมาชิกของรายการนั้น ๆ


และที่ขาดไม่ได้คือปุ่ม Subscribe ครับ


เมื่อเรากดไปครับแล้ว ตัวโปรแกรมจะทำการ Download Podcast รายการนั้น ๆ มาให้เราครับ


ตัว Podcast ที่เรา Subscribe มาแล้วนั้นจะไปรวมกันอยู่ที่ หน้า Podcast ใน Library ของเราครับ ซึ่งหากเราต้องการ Episode ใหนเพิ่มเติมย้อนหลังก็ให้ไปกด Get ด้านท้ายของ Episode นั้น ๆ ครับ แล้วเค้าก็จะทำการ Download มาให้เราครับ


มาถึงตรงนี้ผมแถมท้ายนิดหนึ่งครับ บางครั้งรายการบางรายการ เค้าไม่ได้บอกเราว่ารายการของเค้าเป็น Video หรือ Audio เราสามารถสังเกตุได้จากด้านหลังของ Episode ครับ ว่าหากอันใหนมีรูปจอทีวี แปลว่าเป็น Video ครับ แต่หากอันใหนไม่มีก็แปลว่าเป็น Audio ครับ

วิธีที่สอง ก็คือการไปหาเอาจากเว็บ site ครับ อันนี้จะเป็นกรณีที่เว็บนั้น ๆ ไม่ได้เอาไปผูกไว้กับ iTunes หรือโปรแกรมตัวใหนเลย


เราจะต้องทำการ copy URL มาใส่ไว้ที่โปรแกรม Podcast Receiver อย่าง iTunes


เราเลือกไปที่ Advance แล้วจะเจอช่อง Subscribe to podcast... แล้วให้เราคลิกไป


จะมี Dialog Box ปรากฏมาครับ ให้เราเอา URL ที่ได้มาใส่ไปที่ช่องนั้นครับ แล้วกด OK จากนั้นตัว Podcast ก็จะมาอยู่ที่ Library > Podcast ของเรารวมกับ Podcast ตัวอื่น ๆ ของเราครับ

วิธีสุดท้าย วิธีที่ 3 ครับ อันนี้บาง website ค้าจะทำปุ่ม subscribe ไว้ให้เราครับ เราสามารถกด subscribe ได้เลยครับ


แล้วตัว website จะทำการ Link ไปยัง iTunes ได้เองเลยครับอันนี้ง่ายคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มครับ

ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้นเป็นวิธีในการ Subscribe Podcast ให้เครื่องของเรารู้จัก ตัว Podcast นั้น ๆ ซึ่งต่อมาเป็นการอธิบายถึงการที่จะทำการ Update Podcast ต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องของเราให้สดใหม่อยู่เสมอ เรียกว่าตอนใหม่ออกมาเราต้องไม่พลาด ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้นับเป็น จุดเด้นข้อสำคัญของ Podcast ที่ทำให้เราสามารถติดตามรายการโปรดของเราได้โดยที่เราไม่ต้องไปเสียเวลารอดูหรือ เข้า website ต่าง ๆ เพื่อไปตามดูเหมือนกับ บริการอื่น ๆ ที่เคยมีมาอยู่แล้วในอดีต


การจะตั้งค่าการ Update ให้เหมาะกับเรานั้น ง่ายนิดเดียวครับ เพียงแค่เราคลิกเข้าไปที่ setting.... ซึ่งอยู่ด้านล่างสุดของ หน้า Library>Podcast ของเรา ดังรูปด้านบน

จากนั้นก็จะปรากฏ หน้า Preference ขึ้นมาเป็นส่วนของ Podcast (จริง ๆ เข้าไปทาง Preference ของ iTunes ก็ได้ แต่วิธีแรกง่ายกว่าครับ)


ต่อมาเรามาดูการตั่งค่าทีละอันครับ อันแรกเป็น Check for new episodes: เป็นส่วนที่ให้เราตั้งค่าว่าจะทำการ Update ตัวรายการว่ามีตอนใหม่ออกมาหรือยัง ให้พี่มากน้อยแค่ใหน เช่น ในนี้มีให้เราเลือกเป็นราย ชั่วโมง วัน สัปดาร์ห หรือเราจะมาเลือกเองก็ได้ โดยส่วนตัวผมว่า เราเช็คทุกชั่วโมงดีกว่าครับ


อันที่สอง When new episodes are available :หมายถึง ถึง หากมี รายการ ๆ ใหม่ ๆ มาเราเลือกที่จะทำการ Download อย่างไร ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ Download All คือ Download ทั้งหมด,Download the most recent one หมายถึงทำการ Download อันหลัง สุด สมมุติ มีอยู่ 3 อันพร้อมกัน เค้าจะทำการ Download อันที่ 3 และอันสุดท้ายคือ Do nothing คือไม่ต้องฉันทำเอง


และอันสุดท้าย Keep: เป็นการเลือกเก็บครับ ว่าจะเป็นแบบใหนครับ เค้าแบ่งเป็น 8 รูปแบบ เป็นแบบเก็บทุกอัน หรือทึกอันที่ไม่ได้อ่านหรืออันล่าสุด หรือ 2-10 อันล่าสุดครับ เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วก็กด OK ครับ


ตรงด้านขวามือส่วนเดียวกับปุ่ม setting นั้นจะมีปุ่ม อีก 4 ปุ่มครับ

อันแรกเป็นเป็น Unsubscribe ครับ ใช้ยกเลิกการ Subscribe Podcast ตัวนั้น ๆ ครับ เมื่อกดไปแล้วตัว Feed จะไม่หายไปแต่จะเป็นการยกเลิกเฉย ๆ หากต้องการรับอีกเราก็แค่กดปุ่ม Subscribe เข้าไปเท่านั้นครับ มันก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง

ต่อมาเป็น Reports a Concern เป็นการให้ Comment Podcast รายการนั้น ๆ ครับแต่เราจะให้การ Comment ได้นั้นตัว Podcast นั้น ๆ ต้องเป็นตัวที่ไปผูกไว้กับ iTunes Store เท่านั้นครับ หากเป็นอันที่เรานำไป Add เองจะทำไม่ได้ครับ

ปุ่มต่อมาเป็นปุ่มที่ 3 ครับ เป็นปุ่ม Podcast Directory ครับ เมื่อเรากดเค้าจะทำการ Link เราไปนังหน้า Podcast Directory ของ iTunes Store ครับ

และปุ่มสุดท้าย เป็นปุ่ม Refresh ครับ ไว้ทำการ Refresh ตัว Podcast ครับ หากเราไม่ต้องการรอให้ครบชั่วโมงก็ใช้ตัวนี้ได้ครับ

และส่วนสุดท้ายของบทความครับ คือการทำอย่างไรจะทำให้ Podcast ใน computer ของเรามาอยู่ใน iPod ของเรา

ขั้นแรกเลยครับ ต่อ iPod เข้ากับ computer ครับ


แล้วไปคลิกที่ Device iPod ตรง sidebar ครับ ก็จะไปยังหน้าของ summary ของ iPod ครับ จากตรงนี้ให้เราคลิกอีกทีที่ แท็บ Podcast ครับ เค้าจะพาเราไปยังหน้า Podcast ของ iPod ครับ


ในหน้านี้จะมีส่วนต่าง ๆ ให้เราตั้งค่าให้เหมาะกับเราครับ


อันแรกเป็นส่วนของ Sync ..................... episodes of: เริ่มแรกเราจะต้องคลิกปุ่ม Sync ก่อนครับ จากนั้นถัดมาจะมีปุ่มให้เรากดเลือก ครับ ว่าจะให้ Sync แบบใหนครับ (ดังรูปด้านบน) เราสามารถเลือกได้ครับ ว่าจะเป็นทั้งหมด ทั้งหมดที่ยังไม่ได้เล่น หรือทั้งหมดที่เป็นของใหม่ ซึ่งหากเราไม่ต้องการเลือกหมดก็ยังมีการจำกัดตัวเลขได้ว่าจะเอาแบบใหน กี่อันให้เราเลือกได้ครับ


ต่อมาเป็นการเลือก Podcast ครับว่าเราจะเลือกรายการใดบ้าง จะเลือกทั้งหมดก็คลิกปุ่ม All ได้เลยครับ แต่หากจะเลือกเป็นรายการ ๆ ไปก็กด Select Podcast ไปครับ แล้วจะมีปุ่มมาให้เราติ๊กเลือกครับ เมื่อเลือกได้ก็คลิก Sync ด้านล่างได้เลยครับ (แต่หากเป็น iTunes ตัวเก่า ๆ ก็จะเป็นปุ่ม Apply แทนครับ)

เท่านี้ Podcast ในเครื่องของเราก็จะมาอยู่ใน iPod ของเราแล้วครับ แต่แถมท้ายนิดนึงครับ เราทำอย่างที่กล่าวไปด้านบนครั้งเดียวก็ได้ คราวหลังหาก Podcast ในเครื่องของเรามีรายการใหม่ ๆ ที่ Download มาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราต่อ iPod เข้าไปตัวโปรแกรมจะทำการ Update ให้เองโดยอัตโนมัติครับ เราไม่ต้องทำอะไรเลย

ทั้งหมดนี้เป็นอันเสร็จขั้นตอนของการ ค้นหา Subscribe และการนำ iPod ลงเครื่องของเรารวมไปถึงการตั้งค่าด้วยครับ ตรงนี้คิดว่าคงไม่น่าจะมีอะไรที่ลืมไปอีกครับ หากมีข้อสงสัยอะไรโพสถามใน forum ได้ครับ หรือจะถามมาทาง MSN ก็ได้ครับ

ตัว Podcast นี้ผมใช้งานอยู่เป็นประจำครับ ส่วนมากจะฟังรายการของ macdd Radio ครับ เป็นรายการเกี่ยวกับ mac เป็นหลักครับ ซึ่งผมทำงานอยู่ในสายงานนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นครับที่จะต้องคอยติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้ตกยุคครับ และจะได้มีเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้ลูกค้าฟังด้วยครับ และรายการอื่น ๆ ที่ดูก็มีอย่างเช่น National Geographic Chanel ครับ เป็นสารคดี ที่ออกใหม่สัปดาร์หละ 2 ตอน(พร้อมกัน)ครับ เป็น Video สนุกดีครับ

PIKMY